สื่อประชาสัมพันธ์

ข่าวความเคลื่อนไหว

สื่อประชาสัมพันธ์

ข่าวความเคลื่อนไหว

ปตท. เดินหน้าขยายสถานี รับ-จ่าย แอลเอ็นจี สร้างความมั่นคงด้านพลังงานในระยะยาว

22 มีนาคม 2562
เพิ่มขีดความสามารถในการจัดหาก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมจากแหล่งก๊าซในประเทศ ให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ สนับสนุนการเติบโตของประเทศ และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดี

วันนี้ (22 มีนาคม 2562) นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว หนองแฟบ หรือ Nong Fab LNG Receiving Terminal โดย บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด (PTTLNG) เพื่อรองรับการนำเข้าแอลเอ็นจีในปริมาณ 7.5 ล้านตันต่อปี ซึ่งจะแล้วเสร็จ พร้อมจัดเก็บและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติจากของเหลวเป็นก๊าซ เพื่อจัดส่งเข้าโครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติได้ในปี 2565

นายชาญศิลป์ กล่าวว่าโครงการท่าเทียบเรือและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลวหนองแฟบนี้ ดำเนินการตามมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 ที่เห็นชอบให้ดำเนินการก่อสร้างโครงการฯ ด้วยงบลงทุน 38,500 ล้านบาท เพื่อขยายขีดความสามารถในการนำเข้าแอลเอ็นจี จากเดิมที่ 11.5 ล้านตันต่อปี เพิ่มเป็น 19 ล้านตันต่อปี รองรับสถานการณ์ในปัจจุบันที่ปริมาณพลังงานสำรองจากก๊าซธรรมชาติใน อ่าวไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การนำเข้าก๊าซธรรมขาติจากประเทศเพื่อนบ้านมีข้อจำกัด ซึ่งสวนทางกับความต้องการใช้พลังงานที่สูงขึ้น ทั้งในภาคไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่ง

นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานกรรมการ บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการท่าเทียบเรือและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว ณ บ้านหนองแฟบ ตำบลมาบตาพุด จ.ระยอง บนพื้นที่ 182 ไร่ แห่งนี้ เป็นอีกหนึ่งโครงการข้อตกลงคุณธรรม ที่มีกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโปร่งใส และมีผู้ร่วมสังเกตการณ์ในทุกขั้นตอน โดยนับเป็นโครงการที่สำคัญในการรองรับแอลเอ็นจี ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสำรองของประเทศ โดย ปตท. ได้นำเข้าแอลเอ็นจีมาตั้งแต่ปี 2554 ผ่านการซื้อขายลักษณะสัญญาในรูปแบบตลาดจร (Spot) และได้นำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันได้ทำสัญญาซื้อขายแอลเอ็นจีระยะยาวทั้งหมด 4 สัญญา รวมปริมาณ 5.2 ล้านตันต่อปี เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานระยะยาว และเพื่อให้ประเทศมีพลังงานใช้อย่างพอเพียงต่อไป