การสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน |
![]() ![]() ![]() ![]() |
ผลกระทบเชิงบวกและเชิงลบ
ปตท. ตระหนักดีว่ากิจกรรมการดำเนินงาน ผลิตภัณฑ์และบริการในธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักขององค์กร ย่อมมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรงและทางอ้อมตลอดห่วงโซ่คุณค่า ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อมิติต่าง ๆ ตั้งแต่ด้านสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน จนเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่มีผลกระทบอื่น ๆ ที่ซับซ้อนและหลากหลายเกิดขึ้นต่อเนื่องตามมามากมาย เช่น ผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ผลกระทบต่อสังคมในการดำรงชีวิตและคุณภาพชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งในปัจจุบันที่ทุกภาคส่วนในโลกและประเทศไทยต่างให้ความสำคัญและยกระดับการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นวาระเร่งด่วน ย่อมส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของ ปตท. โดยตรง ในปี 2564 ปตท. ได้บูรณาการความเสี่ยงและโอกาสจากประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้าไปเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางกลยุทธ์ ตลอดจนเป้าหมายระยะยาวปี 2573 ได้แก่ เป้าหมาย Business Growth New Growth และ Clean Growth ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการปรับเปลี่ยนธุรกิจไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำเพื่อมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ในปี 2593 ส่งผลให้ในปี 2565 มีความก้าวหน้าของการขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจพลังงานในอนาคตและธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงานที่ชัดเจน ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ช่วยส่งเสริมการจ้างงาน คุณภาพชีวิตของประชาชนและสังคม การเพิ่มความรู้ทักษะความสามารถของพนักงานจากธุรกิจใหม่ และอาจจะได้รับการสนับสนุนด้านภาษีอีกด้วย
วัตถุประสงค์/ เป้าหมาย
![]() |
แนวทางการจัดการ
โครงสร้างกำกับดูแลด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปตท.
![]() |
ประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของ ปตท. ได้ถูกบูรณาการเข้าไปในทิศทางกลยุทธ์ แผนวิสาหกิจและการบริหารความเสี่ยงขององค์กร โดยมีการกำกับดูแลในหลากหลายมิติ ทั้งในภาพรวมของความยั่งยืน และในระบบงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆขององค์กร ดังนี้
- การกำกับดูแลประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน ในระดับจัดการจะอยู่ในความรับผิดชอบของ คณะกรรมการจัดการการกำกับดูแล การบริหารความเสี่ยง และการกำกับการปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบองค์กร (PTT Governance Risk and Compliance Management Committee: GRCMC) ซึ่งรายงานต่อ คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและความยั่งยืน (Corporate Governance and Sustainability Committee: CGSC) เป็นรายไตรมาส โดยมี คณะกรรมการบริหารความยั่งยืน กลุ่ม ปตท. (PTT Group Sustainability Management Committee: GSMC) ดูแลกรอบการดำเนินงานและความสอดคล้องกันในกลุ่ม ปตท.
- การกำกับดูแลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเป้าหมายระยะยาวและเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ มีการจัดตั้ง คณะทำงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ กลุ่ม ปตท. (PTT Group Net Zero Task Force: G-NET) ขึ้น ทำหน้าที่กำหนดกรอบเป้าหมายที่ชัดเจนในการยกระดับการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ตามนโยบายของกระทรวงพลังงาน รวมทั้งผลักดันการปรับรูปแบบธุรกิจ ตามทิศทางกลยุทธ์และแผนวิสาหกิจที่กำหนดขึ้น
- การกำกับดูแลการบริหารความเสี่ยงองค์กร ซึ่งความท้าทายของการบริหารจัดการความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นหนึ่งในความเสี่ยงระดับองค์กร ที่ต้องมีการกำหนดมาตรการ/แผนควบคุมเพื่อลดโอกาสเกิด (Control) และมาตรการเพื่อลดผลกระทบ (Mitigation Plan) ตลอดจนตัวชี้วัดความเสี่ยง (Leading/ Lagging Key Risk Indicator) มีการรายงานความก้าวหน้าแก่ คณะกรรมการแผนวิสาหกิจและบริหารความเสี่ยง (Corporate Plan and Risk Management Committee: CPRC) ในระดับจัดการ และคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงองค์กร (Enterprise Risk Management Committee: ERMC) ทุกไตรมาส
โดยมีสายงานผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารความยั่งยืน เป็นหน่วยงานหลักที่ดูแลรับผิดชอบและประสานงานในการกำหนดนโยบาย เป้าหมาย กลยุทธ์ ตัวชี้วัดการดำเนินงาน แนวทางบริหารจัดการ ตลอดจนแผนการดำเนินงาน ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในระดับ Corporate กลุ่มธุรกิจ หน่วยธุรกิจ และสายงานที่เกี่ยวข้องภายในองค์กร เช่น สถาบันนวัตกรรม ปตท. กลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน และหน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น
กระบวนการในการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของ ปตท. มีความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน และเป็นไปตามแนวทางและมาตรฐานสากล โดยมีกระบวนการดังต่อไปนี้
- การดำเนินการจัดเก็บข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Risks and Opportunities) ตามรายละเอียดในหัวข้อ มาตรฐานและเครื่องมือการจัดทำบัญชีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของกลุ่ม ปตท.
- การติดตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในระดับโลกและในระดับท้องถิ่นที่มีผลกระทบต่อความยั่งยืน เช่น กฎหมายกฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ กลไกควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น Carbon Tax, Cap and Trade, Carbon Tax เป็นต้น แนวทางและมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในระดับสากล เช่น IPCC, WBCSD, CDP, DJSI, GRI, TCFD เป็นต้น ครอบคลุมถึงการเข้าร่วมการประชุม การร่วมรับฟังความคิดเห็นและการดำเนินการของหน่วยงานภาครัฐ องค์การมหาชน และอื่น ๆ ในประเด็นด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
- การระบุความเสี่ยงและโอกาสระดับองค์กร ในประเด็นด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ครอบคลุมความเสี่ยงและโอกาส ต่อไปนี้
- ความเสี่ยงและโอกาสจากกฎหมายและข้อบังคับที่เปลี่ยนแปลง (Regulatory Risk)
- ความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Transition Risk)
- ความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของภูมิอากาศ (Physical Risk)
- ความเสี่ยงและโอกาสอื่นๆ
- ผนวกความเสี่ยงและโอกาสไปในการวิเคราะห์สถานการณ์ด้านธุรกิจ ในกระบวนการจัดทำทิศทางกลยุทธ์ ตลอดจนการประเมินผลกระทบทางการเงินที่เกี่ยวข้อง ผ่านการประมาณการทางการเงิน และการวางแผนทางการเงิน โดยอาศัยข้อมูลจากขั้นตอนการติดตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในระดับโลกและในระดับท้องถิ่นที่มีผลกระทบต่อความยั่งยืนองค์กร และการชี้บ่งความเสี่ยงและโอกาส โดยครอบคลุมการดำเนินงาน 2 ด้าน คือ
- Mitigation Action: การดำเนินการควบคุม ลด หรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจก เพื่อลดผลกระทบในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- Adaptation Action: การดำเนินการปรับตัวรับมือกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้ธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน
- ถ่ายทอดเป็นแผนวิสาหกิจขององค์กร รวมทั้งในการจัดทำรายการความเสี่ยงองค์กร (Corporate Risk Profile) ใน กระบวนการบริหารความเสี่ยงองค์กร ซึ่งได้จากการรวบรวมปัจจัยเสี่ยงจาก Source of Risk ทั้งหมดขององค์กร ทั้งจากกลุ่มธุรกิจหน่วยธุรกิจ สายงานสนับสนุนสำนักงานใหญ่ และความเสี่ยงทั้งหมดจากปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อองค์กรทั้งในเชิงบวกและลบ ในช่วงจัดทำแผนวิสาหกิจ ปตท. และกำหนดเป็นตัวชี้วัดการดำเนินงานระดับองค์กรผลการดำเนินงานตามระบบประเมินผลรัฐวิสาหกิจ (SE-AM KPI) และตัวชี้วัดองค์กร (Corporate KPI) ตลอดจนถ่ายทอดลงมาเป็นตัวชี้วัดในสายงาน (Functional KPI) ที่เกี่ยวข้อง
- การติดตามและทบทวนความก้าวหน้าผลการดำเนินงานตามแผนวิสาหกิจ กลยุทธ์ และ KPIs รายงานต่อคณะกรรมการตามโครงสร้างกำกับดูแลทั้งในระดับจัดการ และคณะกรรมการ ปตท. ตามโครงสร้างกำกับดูแลที่กำหนด เป็นรายไตรมาส
- สรุปผลการดำเนินงานและเปิดเผยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภายในและภายนอกรับทราบอย่างโปร่งใส ผ่านแบบ 56-1 One Report และเว็บไซต์ ปตท.
การบริหารจัดการความเสี่ยง
![]() |
ปตท. ได้พัฒนาระบบการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร โดยวางกรอบการบริหารความเสี่ยงที่สอดคล้องกับแนวทางการบริหารความเสี่ยงตามมาตรฐานสากลได้แก่ COSO ERM 2017 และ ISO 31000:2018 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่องค์กรชั้นนำทั่วโลกให้การยอมรับ กระบวนการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กรนั้นเป็นส่วนสำคัญในการทำให้องค์กรสามารถบรรลุวิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ ซึ่งเชื่อมโยงกับกระบวนการวางแผนกลยุทธ์และการจัดทำแผนวิสาหกิจ เพื่อช่วยให้ลดความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายขององค์กรที่กำหนดไว้
ในช่วงจัดทำแผนกลยุทธ์ การระบุปัจจัยเสี่ยงทั้งในระดับองค์กร ระดับกลุ่มธุรกิจ/สายงานสนับสนุน และระดับหน่วยปฏิบัติงาน ควรพิจารณาครอบคลุมทั้งจากปัจจัยภายใน ปัจจัยภายนอก เป้าหมายและกลยุทธ์ที่สำคัญขององค์กร ความต้องการความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อกำหนดปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งหมด ทั้งระยะสั้นและระยะยาวอย่างครบถ้วนและรอบด้าน
ในช่วงจัดทำแผนวิสาหกิจ ปตท. จะจัดทำรายการความเสี่ยงองค์กร (Corporate Risk Profile) ซึ่งได้จากการรวบรวมปัจจัยเสี่ยงจาก Source of Risk ทั้งหมดขององค์กร ทั้งจากกลุ่มธุรกิจหน่วยธุรกิจ สายงานสนับสนุนสำนักงานใหญ่ และความเสี่ยงทั้งหมดจากปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อองค์กรทั้งในเชิงบวกและลบ เพื่อลดผลกระทบหรือโอกาสเกิดจากปัจจัยที่เป็นอุปสรรค และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากปัจจัยที่เป็นโอกาส พร้อมกับการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยง กำหนดตัวชี้วัดด้านความเสี่ยง (Key Risk Indicator) และกำหนดผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารความเสี่ยง (Risk Owner) ตามการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงจากรายการความเสี่ยงองค์กรที่กำหนด
รายการความเสี่ยงองค์กรและแผนบริหารความเสี่ยงที่ได้รับการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงองค์กรจะถูกบูรณาการกับแผนวิสาหกิจ เพื่อขออนุมัติจากคณะกรรมการ ปตท. ทำให้แผนบริหารความเสี่ยงมีความสอดคล้องกับเป้าหมายและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ มีการถ่ายทอดจากคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงองค์กรไปยังฝ่ายจัดการและผู้ปฏิบัตินำไปปฏิบัติทั่วทั้งองค์กร เพื่อตอบสนองต่อความเสี่ยงได้อย่างทันท่วงทีและสร้างความพร้อมในการรองรับความเสี่ยงของธุรกิจในทุกด้าน
การประเมินความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศGRI201-2
ในการผนวกกระบวนการวิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาสที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เข้ากับกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ และการบริหารจัดการความเสี่ยงระดับองค์กร กลุ่ม ปตท. ได้นำกระบวนการวิเคราะห์สถานการณ์ด้านสภาพอากาศ (Climate Scenario Analysis) ตามแนวทาง Recommendation of the Task Force on Climate-related Financial Disclosure (TCFD) เข้ามาใช้ในการประเมินและเพื่อทำความเข้าใจว่าความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งทางกายภาพ (Physical) และความเสี่ยงระหว่างช่วงเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Transition) นั้นจะมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในแต่ละช่วงเวลาอย่างไร ทั้งนี้การประเมินความเสี่ยงทั้ง 2 รูปแบบจะครอบคลุม 3 กลุ่มธุรกิจ คือ กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย และกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน
- Policy and Legal: เป็นการประเมินเชิงคุณภาพและให้ความสำคัญกับเป้าหมายและนโยบายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ (ร่าง) พระราชบัญญัติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เชื่อมโยงกับการจัดเก็บภาษีคาร์บอน และระบบซื้อขายสิทธิ์การปล่อยการเรือนกระจกเป็นหลัก ซึ่งครอบคลุมความเสี่ยงจากนโยบาย เป้าหมาย แผนยุทธศาสตร์ และกฎหมายของหน่วยงานภาครัฐของประเทศไทยที่ทำหน้าที่กำกับดูแล
- Market: เป็นการประเมินเชิงปริมาณและให้ความสำคัญกับความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ์และการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์ในแต่ละสถานการณ์ทางธุรกิจเป็นหลัก ตลอดจนการเปลี่ยนพฤติกรรมของลูกค้า เช่น ความต้องการเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ลดลง
- Technology: เป็นการประเมินเชิงคุณภาพและให้ความสำคัญกับ เทคโนโลยีเกี่ยวกับคาร์บอนต่ำที่มาทดแทนธุรกิจที่พึ่งพาฟอสซิลเป็นหลัก เช่น รถไฟฟ้า แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง เป็นต้น
- Reputation: เป็นการประเมินเชิงคุณภาพและให้ความสำคัญกับความต้องการและความคาดหวังของนักลงทุนเป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนผ่านสู่การดำเนินธุรกิจที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ
ผลการวิเคราะห์พบว่า ภายใต้สถานการณ์ Clean ความเสี่ยงระยะสั้นและระยะยาวที่มีผลกระทบมากที่สุดเป็นผลมาจากความต้องการถ่านหินที่ลดลงและความต้องการน้ำมันคีโรซีนสำหรับเครื่องบินที่ลดลง ในขณะที่โอกาสในระยะสั้นและระยะยาวมีความต้องการเซลล์แสงอาทิตย์ที่เพิ่มขึ้น ภายใต้สถานการณ์ Clear นั้น ความเสี่ยงระดับสูงมาจากการกำหนดราคาคาร์บอนสูงในทุกกลุ่มธุรกิจของ ปตท. โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกลุ่มการแปรรูปก๊าซและ LNG สำหรับโอกาสภายใต้สถานการณ์ Clear นั้น มาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับเซลล์แสงอาทิตย์ การผลิตพลังงานลม และความต้องการสารประกอบโพลีโพรพิลีนที่มากขึ้น นอกจากนี้ การเรียกเก็บภาษีคาร์บอนของภาครัฐอาจส่งผลกระทบต่อองค์กร ซึ่งจำเป็นต้องนำความเสี่ยงดังกล่าวมาเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณากำหนดสถานการณ์ด้านการวางแผนดำเนินธุรกิจ (Business Plan Scenario) เพื่อใช้ในการจัดทำกลยุทธ์และแผนธุรกิจในปีถัดไป
- ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติทั้งแบบเฉียบพลัน (Acute) เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เป็นต้น
- การเปลี่ยนสภาพอากาศที่เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Chronic) เช่น การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น เป็นต้น
รูปแบบสถานการณ์จำลองที่คัดเลือกมาประกอบการวิเคราะห์ Scenario Analysis ได้แก่
- RCP 8.5 (Business as Usual): สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้น 3.2 – 4.5 องศาเซลเซียสภายในสิ้นศตวรรษเนื่องจากความพยายามในการลดมลพิษต่ำหรือไม่มีความพยายาม
- RCP 4.5: สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้น 1.7 – 3.2 องศาเซลเซียสภายในสิ้นศตวรรษเนื่องมาจากความพยายามระดับปานกลางในการลดการปล่อยมลพิษ
- RCP 2.6 (Paris Agreement Scenario): สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้น 0.9 – 2.3 องศาเซลเซียสภายในสิ้นศตวรรษเนื่องมาจากความพยายามระดับสูงรวมถึงมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกที่เข้มงวด
- ความเสี่ยงด้านความเครียดน้ำ (Water stress) และความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ (Seasonal Variability)
![]() |
ในปี 2573 สถานประกอบการที่สำคัญในห่วงโซ่คุณค่าของ ปตท. มีความเสี่ยงสูงด้านความเครียดน้ำและด้านความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ และในปี 2583 มีความเสี่ยงสูงด้านความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ
ร้อยละของสถานประกอบการที่มีความเสี่ยงภายใต้ RCP 4.5
![]() |
ในปี 2573 และปี 2583 สถานประกอบการที่สำคัญในห่วงโซ่คุณค่าของ ปตท. มีความเสี่ยงสูงด้านความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ
ความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงความร้อนตามฤดูกาล (Seasonal Heat Risks)
ดัชนีความร้อน (Heat Index) เป็นการวัดอุณหภูมิซึ่งรวมถึงความชื้นในบรรยากาศ โดยอุณหภูมิสูงที่มีความชื้นสูงจะทำให้ดัชนีความร้อนสูง ซึ่งผลการประเมินพื้นที่ใน 3 จังหวัดที่มีพื้นที่ปฏิบัติการที่สำคัญในห่วงโซ่คุณค่าของ ปตท. แสดงจำนวนวันที่ดัชนีความร้อนเกิน 35°C โดยทุกพื้นที่มีความเสี่ยงสูงด้านการเปลี่ยนแปลงความร้อนตามฤดูกาล และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามช่วงเวลาในทุกสถานการณ์จำลอง
จำนวนวันที่ดัชนีความร้อน (Heat Index) > 35 oC
Scenarios | ที่ตั้ง | ปี 2563-2582 | ปี 2583-2602 | ปี 2603-2622 |
---|---|---|---|---|
RCP 8.5 | ชลบุรี | 179.6 | 239.9 | 276.9 |
ระยอง | 153.7 | 239.2 | 282.7 | |
นครศรีธรรมราช | 91.1 | 204.9 | 300.4 | |
RCP 4.5 | ชลบุรี | 171.7 | 210.6 | 240.6 |
ระยอง | 136.0 | 197.1 | 242.3 | |
นครศรีธรรมราช | 83.8 | 149.7 | 217.5 | |
RCP 2.6 | ชลบุรี | 160.1 | 187.4 | 199.0 |
ระยอง | 130.4 | 167.7 | 183.9 | |
นครศรีธรรมราช | 75.7 | 109.4 | 183.9 |
- เทคโนโลยีที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานในราคาที่ถูกลง
- โอกาสในการลงทุนในธุรกิจพลังงานทางเลือกหรือพลังงานหมุนเวียนที่เริ่มคุ้มค่าในการลงทุนมากขึ้น
- การเข้าถึงตลาดด้านพลังงานและผลิตภัณฑ์ที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
- สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งในประเทศและต่างประเทศได้
ทั้งนี้ แต่ละกลุ่มธุรกิจจะเป็นผู้รับผิดชอบในการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและดำเนินการที่เหมาะสม เพื่อรับมือและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากความเสี่ยงเหล่านี้ ด้วยระบบบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ และติดตามการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจเป็นประจำทุกไตรมาส การกำหนดเป้าหมายสำหรับมาตรการปรับตัวต่อความเสี่ยงทางกายภาพกับการดำเนินงานที่มีอยู่และการดำเนินงานใหม่จะดำเนินการภายในกรอบเวลา 5-10 ปี
กลยุทธ์การบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
![]() |
จากความมุ่งมั่นในการเป็นพลังขับเคลื่อนทุกชีวิตไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ปตท. มุ่งบริหารจัดการผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปในทุกขั้นตอนของการดำเนินธุรกิจ โดยบูรณาการไปในการกำหนดทิศทางกลยุทธ์ขององค์กรตั้งแต่ปี 2564 จะเห็นได้ว่า ปตท. พร้อมปรับเปลี่ยนธุรกิจไปสู่ธุรกิจพลังงานในอนาคตและธุรกิจอื่น ๆ นอกเหนือจากธุรกิจพลังงาน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเป้าหมายระยะสั้น กลางและยาวที่กำหนด โดยมีรายละเอียดของการกำหนดเป้าหมายระยะยาว เป้าหมาย Net Zero Emissions และกลยุทธ์/ แนวทางการดำเนินงาน ดังนี้
- การกำหนด เป้าหมายระยะยาวปี 2573 ที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจอย่างจริงจัง ได้แก่ เป้าหมาย Business Growth New Growth และ Clean Growth ซึ่งสามารถอ่านรายละเอียดได้ในหัวข้อ การปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ (Business Diversification)
- การกำหนดเป้าหมาย Clean Growth เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ กลุ่ม ปตท. ภายในปี 2573 เป็นลดลงร้อยละ 15 เทียบกับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในปี 2563 และแสดงเจตนารมณ์ในการประกาศ เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2583 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 ด้วยการสนับสนุนมาตรการจากภาครัฐ เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2593 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ให้ได้ภายในปี 2608
- กำหนด “แนวทางการดำเนินงาน 3P ” ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายระยะยาวปี 2573 ขององค์กร เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินการร่วมกันในกลุ่ม ปตท. โดยมีโครงการ/ Initiatives ที่สำคัญ ดังนี้
3P Decarbonization Pathways |
การดำเนินงานที่สำคัญ |
สัดส่วนการลดการปล่อย
|
|
|
30 |
|
|
50 |
|
|
20 |
- จัดตั้ง คณะทำงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ กลุ่ม ปตท. (PTT Group Net Zero Task Force: G-NET) ประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงของบริษัทในกลุ่ม ปตท. ทำหน้าที่กำหนดกรอบเป้าหมาย มุ่งเน้นบริหารจัดการโครงการหลักที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีนัยสำคัญ และเหมาะสมกับบริบทของธุรกิจในกลุ่ม ปตท. เช่น Carbon Capture & Storage (CCS) Carbon Capture & Utilization (CCU) Renewable Energy (RE) และ Hydrogen Energy เป็นต้น เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ รวมทั้งผลักดันการปรับรูปแบบธุรกิจ ตามทิศทางกลยุทธ์และแผนธุรกิจที่กำหนดขึ้น โดยรายงานความก้าวหน้าต่อคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและความยั่งยืนรายไตรมาส ในส่วนของการกำกับดูแลประเด็นความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นหนึ่งในประเด็นความเสี่ยงองค์กร ซึ่งระดับจัดการรับผิดชอบโดยคณะกรรมการแผนวิสาหกิจและบริหารความเสี่ยง และรายงานต่อคณะกรรมการการบริหารความเสี่ยงองค์กรเป็นรายไตรมาส นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้ง คณะทำงาน PTT Group Clean & Green ประกอบด้วยผู้แทนในระดับปฏิบัติจากบริษัทในกลุ่ม ปตท. รับผิดชอบการติดตามและควบคุมปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้สอดคล้องตามเป้าหมายที่กำหนด ติดตามผลการดำเนินงานร่วมกัน และวัดผลในรูปแบบ Eco-efficiency
-
การกำหนดเป้าหมายเป็น ตัวชี้วัดผลการดำเนินงานตามระบบประเมินผลรัฐวิสาหกิจ และตัวชี้วัดองค์กร ซึ่งวัดและประเมินผลการดำเนินงานของประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้บริหารระดับสูง และถ่ายทอดลงมาในสายงานที่เกี่ยวข้องตามลำดับชั้น
การนำแนวทางการใช้กลไกราคาคาร์บอน เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาการลงทุนของ ปตท.GRI305-5
การใช้กลไกราคาคาร์บอน เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาการลงทุน ของ ปตท. เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนให้เกิดการลงทุนในโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อันจะช่วยลดผลกระทบจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และช่วยให้การดำเนินธุรกิจของ ปตท. มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low-carbon Society) โดยผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการบริหารการลงทุน (SIMC) และผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการจัดการของ ปตท. ซึ่งก๊าซเรือนกระจกที่สามารถนำมาประเมินเพื่อใช้กลไกราคาคาร์บอนมาพิจารณาประกอบการลงทุน สามารถพิจารณาจากโครงการที่สามารถลดก๊าซเรือนกระจกทั้ง 7 ประเภท ได้แก่ CO2 , CH4 , N2O, HFCs, PFCs, SF6, NF3 แต่ทั้งนี้ ในกิจกรรมหลักๆ ที่พิจารณาจะมาจากกิจกรรมที่สามารถลด CO2 , CH4 และ N2O เป็นหลัก โดยการพิจารณาโครงการซึ่งสามารถลดก๊าซเรือนกระจกจะครอบคลุมการลดก๊าซเรือนกระจกทั้ง 3 ขอบเขต ได้แก่ทางตรง (ขอบเขตที่ 1) พลังงานทางอ้อม (ขอบเขตที่ 2) และ/หรือทางอ้อมอื่นๆ (ขอบเขตที่ 3) โดยการประเมินการลดก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจะประเมินจาก PTT Group GHG Tool ซึ่งอ้างอิงหลักการประเมินจาก API Compendium และ IPCC 2006 ทั้งนี้ สำหรับกิจกรรมที่ไม่สามารถประเมินผ่าน PTT Group GHG Tool สามารถอ้างอิงหลักการคำนวณจากองค์กรที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศหรือระดับสากล เช่น TGO, IPCC เป็นต้น
ในปี 2565 ปตท. ได้กลไกราคาคาร์บอนมาประยุกต์ใช้กับการพิจารณาความคุ้มค่าโครงการเพื่อคัดเลือกการดำเนินโครงการประเภทพลังงานทดแทนในพื้นที่ปฏิบัติการต่างๆ เพื่อใช้ส่งเสริมแนวทางการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกเชิงพื้นที่ในพื้นที่ปฏิบัติงาน
แนวทางการใช้กลไกราคาคาร์บอน เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาการลงทุน ของ ปตท. มีเนื้อหาโดยสรุป ดังนี้
- การใช้กลไกราคาคาร์บอน เพื่อประกอบการพิจารณาการลงทุน จะใช้กับโครงการที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการดำเนินธุรกิจของ ปตท. ทางตรงและทางอ้อม
- รูปแบบการใช้กลไกราคาคาร์บอน เป็นแบบราคาเงา (Shadow Price) ซึ่งคณะกรรมการบริหารการลงทุน ใช้เป็นส่วนหนึ่งเพื่อประกอบการพิจารณาการลงทุนที่ราคาคาร์บอน มูลค่า 20 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับ ปตท. จากการประยุกต์ใช้แนวทางการใช้กลไกราคาคาร์บอนฯ
- เป็นแนวทางที่ช่วยให้ ปตท. มีการดำเนินธุรกิจที่มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ที่จะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างโอกาสที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว
- สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม โดยเฉพาะนักลงทุน โดยแสดงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจของ ปตท. ที่มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low-carbon Society)
- เพิ่มโอกาสในการลงทุนในประเภทธุรกิจและโครงการที่สามารถสร้างผลประโยชน์ทางธุรกิจควบคู่ไปกับการสร้างประโยชน์ทางอ้อมโดยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้แก่กลุ่ม ปตท. ผ่านการนำกลไกราคาคาร์บอน (Internal Carbon Price : ICP) ประยุกต์ใช้กับการพิจารณาความคุ้มค่าโครงการเพื่อคัดเลือกการดำเนินโครงการประเภทพลังงานทดแทนในพื้นที่ปฏิบัติการต่างๆ เพื่อใช้ส่งเสริมแนวทางการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกเชิงพื้นที่ในพื้นที่ปฏิบัติงาน
มาตรฐานและเครื่องมือการจัดทำบัญชีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของกลุ่ม ปตท.
กลุ่ม ปตท. จัดทำบัญชีและรายงานข้อมูลการปล่อย การดูดซับ และการกักเก็บปริมาณก๊าซเรือนกระจกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งครอบคลุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (Scope 1) การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Scope 2) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ (Scope 3) อีกทั้งมีการทวนสอบโดยหน่วยงานอิสระภายนอกเป็นประจำทุกปี โดยในปี 2565 จะมีการปรับปรุงขอบเขตในการจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจกโดยมีการจัดทำข้อมูลในรูปแบบกลุ่มบริษัทรวมทั้งในและต่างประเทศ ตาม Greenhouse Gas Protocol และการปรับปรุงค่าศักยภาพในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อน (Global Warming Potential: GWP) ตาม AR6 IPCC ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงค่า GWP ของก๊าซ CH4, N2O และกลุ่ม HFCs, PFCs เพื่อใช้ในการคำนวณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของกลุ่ม ปตท. ซึ่งได้มีการนำไปปรับใช้สำหรับการรายงานในรายบริษัทและกลุ่มปตท. ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) เพื่อให้สอดคล้องกับการตั้งหมายของกลุ่ม ปตท. ซึ่งมีการกำหนดปีฐานไว้ในปี ค.ศ. 2020 รวมถึงการปรับปรุง PTT Group Environmental Master plan 2021-2030 เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero ของประเทศ
นอกจากนี้ ปตท. ยังจัดทำมาตรฐานการจัดทำและรายงานโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งอ้างอิงจากมาตรฐาน ISO14064-2และบูรณาการมาตรฐานดังกล่าวเข้ากับระบบเครื่องมือจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจก เพื่อเป็นมาตรฐานให้กลุ่ม ปตท. ในการประเมินปริมาณและวิเคราะห์แนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามมาตรฐานสากล
แผนงานและ Initiatives ที่สำคัญ
ความก้าวหน้าการดำเนินงาน เร่งปรับกระบวนการผลิต Pursuit of Lower Emissions
โครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในพื้นที่ทะเลอ่าวไทยและพื้นที่ใกล้ฝั่งตะวันออกเป็นรายแรกของประเทศ | ![]() ![]() ![]() ![]() | ||
---|---|---|---|
ดำเนินการภายใต้ความร่วมมือภายใน กลุ่ม ปตท. แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่
|
โครงการดักจับและนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปใช้ประโยชน์ (Carbon Capture and Utilization: CCU) | ![]() ![]() ![]() | ||
---|---|---|---|
โรงแยกก๊าซธรรมชาติระยอง สถาบันนวัตกรรม ปตท. และ OR ร่วมกันศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาธุรกิจและการตลาดของผลิตภัณฑ์โซเดียมไบคาร์บอเนต ซึ่งเป็นการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่แยกได้จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ มาเป็นสารตั้งต้นในการผลิตและนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และสารเคมีในงานอุตสาหกรรม และจัดจำหน่ายให้แก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเป็นการเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจให้แก่กลุ่ม ปตท. และยังช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศ ลดการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบ/ ผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ ส่งเสริมการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างมั่นคงและยั่งยืน นอกจากโซเดียมไบคาร์บอเนต ปตท. มีการศึกษาความเป็นไปได้ของผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ เมทานอล ซึ่งต้องอาศัยการนำเข้าจากต่างประเทศในสัดส่วนที่สูงกว่าภายในประเทศ ซึ่งคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี อ้างอิงจากรายงานสถิติการนำเข้า กรมศุลากร ประเทศไทย ปี 2564 มาเพื่อใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตกาว เรซิน ในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และใช้ผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซลเป็นหลัก หากสามารถผลิตเมทานอลจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ภายในประเทศ จะช่วยลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์และทดแทนการนำเข้าเมทานอล ลดการขาดดุลทางการค้า โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาโอกาสการพัฒนาเป็นธุรกิจเชิงพาณิชย์ต่อไป |
โครงการใช้พลังงานทดแทนในพื้นที่ปฏิบัติงาน | ![]() ![]() ![]() | ||
---|---|---|---|
ปตท. เริ่มติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทนการใช้ไฟฟ้าจากสายส่งจำนวน 11 พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ส่วนปฏิบัติการระบบท่อเขต 1 เขต 2 เขต 3 เขต 6 เขต 8 เขต 9 เขต 10 เขต 11 และศูนย์ปฏิบัติการชลบุรี รวมกำลังการผลิตไฟฟ้าสูงสุดประมาณ 441 กิโลวัตต์ พื้นที่โครงการนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ โครงการวังจันทร์วัลเลย์ กำลังการผลิตไฟฟ้าสูงสุดประมาณ 639 กิโลวัตต์ ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย ด้วย และพื้นที่สถาบันนวัตกรรม ปตท. ติดตั้งโซลาร์เซลล์ ชนิดลอยน้ำ กำลังการผลิตไฟฟ้าสูงสุดประมาณ 12 กิโลวัตต์ ซึ่งโครงการนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างและติดตั้ง โดยคาดว่าจะสามารถลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (Scope 2) ของ ปตท. ได้ประมาณ 1,295 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า นอกจากนี้ ปตท. ได้มีการปรับเปลี่ยนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนรถยนต์สันดาปภายใน โดยเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินที่ใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกับเครื่องยนต์สันดาปภายใน จำนวน 14 คัน คาดว่าสามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 127 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งมีแผนที่จะเพิ่มจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าต่อไปในอนาคต |
การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ | ![]() ![]() | ||
---|---|---|---|
ปี 2565 ปตท. ดำเนินโครงการการปลดล็อคขีดจำกัดของหน่วยกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (AGRU) ของโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 5 และ 6 ด้วยการจำลองเสมือนจริงขั้นสูง ระยะที่ 2 โดยทำการศึกษาเชิงลึกและค้นพบสัดส่วนของสารละลายเอมีนที่เหมาะสมในการกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งจากการปรับปรุงดังกล่าวทำให้สามารถลดการใช้พลังงานลงได้มากกว่า 220,000 MMBTU ต่อปี หรือคิดเป็นการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 15,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า นอกจากนี้ ปตท. ยังได้มีการส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมโครงการเพิ่มผลผลิต ปตท. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งเน้นการปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มผลผลิต ลดค่าใช้จ่าย สร้างรายได้เพิ่ม และลดเวลาที่สูญเปล่า และในปี 2565 ได้เพิ่มวัตถุประสงค์การปรับปรุงกระบวนการทำงานโดยมุ่งเน้นผลลัพธ์ที่สอดคล้องกับทิศทางกลยุทธ์ความยั่งยืนองค์กร 3 มุมมองที่สำคัญ ได้แก่ 1. การใช้ทรัพยากรน้ำในกระบวนการอย่างคุ้มค่า 2. การพัฒนาธุรกิจสู่สังคมคาร์บอนต่ำ 3. การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าโดยยึดหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนและการจัดการของเสีย โดยมีพนักงานเข้าร่วมเสนอโครงการลดการใช้พลังงาน ทั้งพลังงานไฟฟ้าและพลังงานความร้อน และปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ในกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่โดดเด่นมากกว่า 30 โครงการ |
โครงการพลังงานจากเชื้อเพลิงไฮโดรเจน | ![]() ![]() ![]() ![]() | ||
---|---|---|---|
การนำก๊าซไฮโดรเจนมาใช้เป็นเชื้อเพลิงภายในเครื่องยนต์ หรือใช้งานร่วมกับเซลล์เชื้อเพลิงและใช้กระบวนการไฟฟ้าเคมีเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานสำหรับใช้งาน ซึ่งมีข้อดีคือเป็นพลังงานสะอาด ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ อีกทั้งมีศักยภาพการใช้งานเทียบเท่าน้ำมัน ที่ผ่านมา ปตท. ได้ริเริ่มจัดตั้งกลุ่ม Hydrogen Thailand เพื่อขับเคลื่อนเทคโนโลยีไฮโดรเจน และเซลล์เชื้อเพลิง เป็นพลังงานทางเลือกใหม่แห่งอนาคตเพื่อมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ในปี 2565 สถาบันนวัตกรรม ปตท. ได้จัดทำแผนกลยุทธ์เพื่อสร้างพอร์ทธุรกิจไฮโดรเจน ขึ้น ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจาก คณะกรรมการ ปตท. และมีการจัดตั้งคณะทำงานพัฒนาธุรกิจไฮโดรเจน เพื่อผลักดันให้บรรลุเป้าหมาย ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาโอกาสการลงทุนใน Green Hydrogen ร่วมกับคู่ค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังร่วมกับ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด (BIG) บริษัท โตโยต้า ไดฮัทสุ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด (TDEM) และ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด (TMT) ศึกษาและพัฒนาโครงการพลังงานในอนาคต โดยได้เปิดสถานีนำร่องทดลองใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจน สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง แห่งแรกของประเทศไทย ณ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี โดยนำรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง รุ่นมิไร (Mirai) ของโตโยต้า มาทดสอบการใช้งานในประเทศไทย ด้วยการให้บริการในรูปแบบรถรับ-ส่ง ระหว่างสนามบินอู่ตะเภา จังหวัดชลบุรี สำหรับนักท่องเที่ยวและผู้โดยสารในพื้นที่ใกล้เคียง โดยจะมีการเก็บข้อมูลเชิงเทคนิคที่ได้จากการใช้งานจริง เพื่อสร้างการรับรู้และรองรับการขยายผลในอนาคต |
ความก้าวหน้าการดำเนินงาน เร่งเปลี่ยน สู่ธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม Portfolio Transformation
การปรับเปลี่ยนทิศทางการลงทุน | | ||
---|---|---|---|
การดำเนินการที่สำคัญ ได้แก่ การยุติการลงทุนในธุรกิจถ่านหินทั้งหมด โดยทำสัญญาขายหุ้น "PTT Mining" ให้ "Astrindo" ในประเทศอินโดนีเซีย และการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและยานยนต์ไฟฟ้าผ่านการดำเนินการของบริษัทที่ ปตท. ถือหุ้น 100% ได้แก่ บริษัท รีแอค จำกัด (“ReAcc”) บริษัท อีวี มี พลัส จำกัด (EVme) และบริษัท อรุณ พลัส จำกัด (ARUN PLUS) เป็นต้น โดยสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในหัวข้อ การปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ (Business Diversification) |
แนวทางการใช้กลไกราคาคาร์บอน (Internal Carbon Price) เพื่อประกอบการพิจารณาลงทุนของ ปตท. | ![]() | ||
---|---|---|---|
การใช้กลไกราคาคาร์บอน เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาการลงทุน ของ ปตท. เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจลงทุนในโครงการที่มีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และช่วยลดผลกระทบจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงช่วยให้การดำเนินธุรกิจของ ปตท. มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการบริหารการลงทุน และผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการจัดการของ ปตท. โดยรูปแบบการใช้กลไกราคาคาร์บอนของ ปตท. จะเป็นแบบราคาเงา ที่อัตรา 20 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า |
ความก้าวหน้าการดำเนินงาน เร่งปลูกป่าเพิ่ม Partnership with Nature and Society
ความร่วมมือกับภาครัฐในการเพิ่มพื้นที่สีเขียว | ![]() ![]() ![]() | ||
---|---|---|---|
หมุดหลักสำคัญในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวของ ปตท. เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2537 ที่ ปตท. รับอาสาปลูกป่า จำนวน 1 ล้านไร่ ในโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวโรกาสทรงครองราชย์ปีที่ 50 โดย ปตท. ได้ดำเนินการปลูกและฟื้นฟูพื้นที่ป่าที่ถูกทำลาย โดยมีพื้นที่เป้าหมายกระจายอยู่ทุกภูมิภาคของประเทศ รวมทั้งพัฒนาเครือข่ายอนุรักษ์และรักษาป่าให้ยั่งยืน เช่น ราษฏรอาสาสมัครพิทักษ์ป่ารอบแปลงปลูกป่า รวมถึงเครือข่ายความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อการอนุรักษ์ดิน น้ำ ป่า อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในปัจจุบัน ปตท. มีนโยบายเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อเพิ่มการดูดซับก๊าซเรือนกระจกด้วยวิธีทางธรรมชาติ ผ่านการปลูกและบำรุงรักษาป่าไม้ทั่วประเทศร่วมกับภาครัฐและชุมชนในพื้นที่ โดย ปตท. มีแผนดำเนินการปลูกป่าบกและป่าชายเลนเพิ่มขึ้นรวมอีก 1 ล้านไร่ ภายในปี 2573 พร้อมวางแผนดูแลบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง และในปี 2565 ปตท. ได้สำรวจพื้นที่และเริ่มปลูกป่าร่วมกับภาครัฐในแต่ละภูมิภาคของประเทศไทย และร่วมกับบริษัท ARV ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของ PTTEP นำเทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมและอากาศยานไร้คนขับ (Drone) เข้ามาประยุกต์ใช้ในการสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับการคัดเลือกพื้นที่ที่มีศักยภาพ |
ผลการดำเนินงานที่สำคัญ
ความเข้มของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินกิจกรรมของ กลุ่ม ปตท. ทั้งทางตรงและทางอ้อม (Scope 1 และ 2)1, GRI305-4
(กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ)
![]() |
ความเข้มของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินกิจกรรมของ กลุ่ม ปตท.
ทั้งทางตรง ทางอ้อม และการเผาไหม้ผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงที่ ปตท. จำหน่าย (Scope 1, 2 และ 3)1, GRI305-4
(กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ)
![]() |
หมายเหตุ :
1. ขอบเขตข้อมูลครอบคลุมบริษัทในประเทศไทยที่ ปตท. ถือหุ้นทางตรงมากกว่าร้อยละ 20 และเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่หรือถือหุ้นทางอ้อมร้อยละ 100
2. ผลอันเนื่องมาจากการเพิ่มกำลังการผลิต การเปลี่ยนชนิดเชื้อเพลิงอันเนื่องมาจากการบริหารจัดการต้นทุน ข้อมูลปี 2561-2563 ของกลุ่มปตท.มีการปรับการคำนวณ เนื่องจาก ปี 2564 มีการเพิ่มขอบเขตองค์กร (Organization Boundary) เนื่องจากการควบรวมกิจการของไทยออยล์และไทยออยล์ เพาเวอร์, การเพิ่มขอบเขตการดำเนินงาน (Operational Boundary) เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของการรายงาน โออาร์พี ของ พีทีที โกลบอล เคมิคอล, คลังและลานถังของไออาร์พีซี, และ แอลพีจีไซเลนเดอร์ สงขลาของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน), และมีการเพิ่มเติมของกิจกรรมที่มีการเริ่มดำเนินการของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในพื้นที่ LNG ในปี 2563
3. ปี 2565 มีการเพิ่มขอบเขตองค์กร (Organization Boundary) ให้ครอบคลุมการดำเนินงานของบริษัทในกลุ่ม ปตท. ได้แก่ การดำเนินงานในต่างประเทศของ ปตท. สผ, การดำเนินงานของ PPCL (GCPC), PTTAC, PTTMCC, HMC, GGC, GC Polyols, GC Oxirane, GC-M PTA, Glycol, TPRC, GC Treasury, GCL, GCM, GCME, Solution Creation, TTT, NPC S&E, NPCSG, GCEC ของ พีทีที โกลบอล เคมิคอล, การดำเนินงานของ TLB, TPX, TOPSPP, LABIX ของ ไทยออยล์, การดำเนินงานของ IRPC Oil, Rakpasak ของไออาร์พีซี, และการดำเนินงานของ GHECO-One, CHPP, GLOW SPP2, GLOW SPP3, GLOW SPP11, GLOW IPP ของโกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่
4. ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขต 2 ปี 2561-2563 ของปตท. และกลุ่มปตท มีการปรับการคำนวณตาม Emission Factor จาก EPPO 2021
5. ปี 2565 มีการปรับค่า ศักยภาพในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อน (Global Warming Potential: GWP) ตาม AR6 IPCC ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงค่า GWP ของก๊าซ CH4, N2O และกลุ่ม HFCs, PFCs เพื่อใช้ในการคำนวณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของกลุ่ม ปตท. 1
6. เป้าหมายที่กำหนดไว้อยู่ภายใต้ขอบเขตการดำเนินการเดิมที่ยังไม่รวมการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมตามที่ระบุในข้อ 2 ทั้งนี้ ปตท. จะปรับปรุงให้สอดคล้องกับกิจกรรมที่เพิ่มขึ้นและรายงานในปีถัดไป
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงและทางอ้อมกลุ่ม ปตท.1 (ล้านตันคาร์บอนได้ออกไซด์เทียบเท่า)GRI305-1, GRI305-2, GRI305-3
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (Scope 1) |
|
การปล่อยก๊าซ CO2 ทางชีวภาพ (Biogenic CO2) |
![]() |
![]() |
|
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (Scope 2) 5 |
|
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเผาไหม้ผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิง
|
![]() |
![]() |
หมายเหตุ:
1. ขอบเขตข้อมูลครอบคลุมบริษัทในประเทศที่ ปตท. ถือหุ้นทางตรงมากกว่าร้อยละ 20 และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่หรือถือหุ้นทางอ้อมร้อยละ 100
2. ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (Scope 3) ครอบคลุมการเผาไหม้ผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงที่ ปตท. และบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) จำหน่าย (ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล น้ำมันอากาศยาน น้ำมันเตา ก๊าซปิโตรเลียมเหลว
และน้ำมันก๊าด) โดย ปตท. บริหารจัดการปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (Scope 3) ผ่านการตั้งเป้าหมายการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรงและทางอ้อม (Scope 1 และ 2) ของ ปตท. ต่อปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของ ปตท.
ซึ่งอยู่ภายใต้ระบบการประเมินคุณภาพรัฐวิสาหกิจ
3. ขอบเขตข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (Scope 3) ครอบคลุม ปตท. และบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)
4. ข้อมูลปี 2561-2563 ของกลุ่ม ปตท. มีการปรับการคำนวณ เนื่องจาก ปี 2564 มีการเพิ่มขอบเขตองค์กร (Organization Boundary) เนื่องจากการควบรวมกิจการของไทยออยล์ และ ไทยออยล์ เพาเวอร์ การเพิ่มขอบเขตการดำเนินงาน (Operational Boundary)
เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของการรายงาน โออาร์พี ของ พีทีที โกลบอล เคมิคอล คลังและลานถังของไออาร์พีซี และแอลพีจีไซเลนเดอร์ สงขลา ของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน) และมีการเพิ่มเติมของกิจกรรมที่มีการเริ่มดำเนินการของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
ในพื้นที่ LNG ในปี 2563
5. ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขต 2 ปี 2561-2563 ของปตท. และกลุ่ม ปตท. มีการปรับการคำนวณตาม Emission Factor จาก EPPO 2021
Total direct methane emissions (Metric tonnes) |
|
Total non-renewable energy consumption (MWh)GRI302-1 |
![]() |
![]() |
|
Total renewable energy consumption (MWh)GRI302-1 |
|
|
![]() |
การใช้พลังงานกลุ่ม ปตท. (กิกะจูล)GRI 302-1, GRI 302-2, GRI 302-3
2562 |
2563 |
2564 |
2565 | |
---|---|---|---|---|
การใช้พลังงานทั้งหมด | 472,771,094 | 499,064,617 | 495,236,605 | 482,460,331 |
การใช้พลังงานทางตรงทั้งหมด | 457,005,965 | 485,381,492 | 481,571,352 | 473,472,604 |
การใช้พลังงานทางอ้อมทั้งหมด | 15,765,129 | 13,683,125 | 13,665,253 | 8,912,556 |