ความยั่งยืน

การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม

ความยั่งยืน

การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม






แนวทางการบริหารจัดการ

การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมของ ปตท. เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการด้าน SSHE โดยแสดงความมุ่งมั่นไว้อย่างชัดเจนใน "นโยบายคุณภาพ ความมั่นคง ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม (Quality, Security, Safety, Health and Environment Policy: QSHE Policy)" ซึ่งได้ผ่านการทบทวนและพิจารณาโดยคณะกรรมการจัดการกลุ่ม ปตท. (PTTGMC) และลงนามโดย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และคณะกรรมการ ปตท. อีกตำแหน่งหนึ่ง  เพื่อเป็นกรอบในการบริหารจัดการให้กับกลุ่มธุรกิจ หน่วยธุรกิจ สายงานและพื้นที่ปฏิบัติการต่าง ๆ ตลอดจนบริษัทในกลุ่ม ปตท. นำไปปฏิบัติอย่างครบถ้วนและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน นโยบาย QSHE ฉบับล่าสุด ได้รับการทบทวนและประกาศใช้ในปี 2568 ประกอบด้วยเนื้อหาสำคัญ ดังนี้ 

  • นโยบายฯ ประยุกต์ใช้ครอบคลุมพนักงานและผู้รับเหมาทุกคนตลอดสายโซ่อุปทานของ ปตท. และกลุ่ม ปตท. รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบและข้อกำหนดขององค์กร มาตรฐานสากลและพันธสัญญาที่เกี่ยวข้อง 
  • เป็นกรอบในการกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานด้าน QSHE ระยะยาวและประจำปี เพื่อนำมากำหนดแผนงานและตัวชี้วัดระดับองค์กร โดยวัดผลการดำเนินงานของผู้บริหารทุกระดับ 
  • บริหารจัดการความเสี่ยงเพื่อป้องกันความสูญเสียจากอุบัติการณ์ต่อชีวิต ทรัพย์สิน กระบวนการผลิต และโลจิสติส์ ส่งเสริมสุขภาพ อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีของพนักงาน ผู้รับเหมา และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 
  • บริหารจัดการความเสี่ยง ปกป้อง ป้องกัน และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง 
  • สื่อสารผลการดำเนินงานและประสิทธิผลให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างโปร่งใส เพื่อให้เกิดความเข้าใจและความตระหนัก รวมถึงการรับฟังความต้องการและความคาดหวัง  
  • ชี้แจง อบรมเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจในนโยบาย รวมทั้งเปิดโอกาสให้พนักงานและผู้รับเหมามีส่วนร่วมและให้ข้อแนะนำ เพื่อนำมาทบทวนและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง 

ปตท. มุ่งทบทวนและพัฒนาการบริหารจัดการด้านคุณภาพ ความมั่นคง ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม ให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง กำหนดให้มีการทบทวนนโยบาย เป้าหมายการดำเนินงานด้าน QSHE เป็นประจำทุกปี ซึ่งมีกระบวนการในการวิเคราะห์และจัดลำดับความสำคัญของประเด็นด้าน QSHE ที่เกี่ยวข้อง โดยให้ผู้ปฏิบัติงานเข้ามามีส่วนร่วมในการทบทวน เช่น หน่วยงานคุณภาพ ความมั่นคง ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อมระดับสายงาน (QSHE Business Area: QSHE BA) เป็นต้น 

การถ่ายทอดไปสู่การปฏิบัติและโครงสร้างกำกับดูแล

ปตท. กำหนดให้การบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการด้าน SSHE โดยมีการถ่ายทอดนโยบายไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรมทั่วทั้งองค์กร โดยกลไกต่าง ๆ ดังนี้  

  • การประยุกต์ใช้ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานสากล ISO 14001 ในทุกพื้นที่ปฏิบัติงานทั้งโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ สถานีหลักก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ ตลอดจนอาคาร ปตท.สำนักงานใหญ่ สถาบันนวัตกรรม ปตท. ซึ่งมีการตรวจประเมินภายใน (Internal Audit) รวมทั้งตรวจประเมินโดยผู้ตรวจประเมินภายนอก (Certification body) ปัจจุบันทุกพื้นที่ได้รับการรับรองระบบครบทุกพื้นที่แล้ว    
  • กำหนดตัวชี้วัดด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญและกำหนดเป็นเป้าหมายประจำปี รวมทั้งเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งมีการถ่ายทอดไปยังกลุ่มธุรกิจ หน่วยธุรกิจ สายงานจนถึงพื้นที่ปฏิบัติการที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนบริษัทในกลุ่ม ปตท.  มีการสื่อความและจัดอบรมชี้แจงนโยบาย ตัวชี้วัด และเป้าหมายให้ผู้บริหารและพนักงานทุกคนเข้าใจเพื่อนำไปปฏิบัติได้อย่างครบถ้วน 
  • การกำหนดประเด็นสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ เป็นตัวชี้วัดการดำเนินงานระดับองค์กร (Corporate KPIs) หรือระดับสายงาน (Functional KPIs) ซึ่งมีผลต่อค่าตอบแทนของผู้บริหารและพนักงานที่เกี่ยวข้อง ตามความเหมาะสม  

ในการนี้ ปตท. มีการติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินงาน เพื่อประเมินคุณภาพและประสิทธิผลของการบริหารจัดการ และรายงานต่อผู้บริหารในสายงาน รวมทั้งคณะกรรมการตามโครงสร้างกำกับดูแลฯ ที่กำหนด เป็นรายไตรมาส ทั้งนี้สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในเว็บไซต์ หัวข้อความยั่งยืน หัวข้อย่อย ระบบการบริหารจัดการด้านความมั่นคง ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม 

ตัวชี้วัดและเป้าหมายประจำปีและเป้าหมายชิงกลยุทธ์ ประจำปี 2573  

ปตท. กำหนดตัวชี้วัดด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญและกำหนดเป็นเป้าหมายประจำปี รวมทั้งเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งมีการถ่ายทอดไปยังกลุ่มธุรกิจ หน่วยธุรกิจ สายงานจนถึงพื้นที่ปฏิบัติการที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนบริษัทในกลุ่ม ปตท.  มีการสื่อความและจัดอบรมชี้แจงนโยบาย ตัวชี้วัด และเป้าหมายให้ผู้บริหารและพนักงานทุกคนเข้าใจเพื่อนำไปปฏิบัติได้อย่างครบถ้วน  ดังนี้ 

ตัวชี้วัด และเป้าหมายประจำปี  

สามารถดูรายละเอียดได้ในเว็บไซต์ หัวข้อความยั่งยืน หัวข้อย่อย ระบบการบริหารจัดการด้านความมั่นคง ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม 

ตัวชี้วัด และเป้าหมายเชิงกลยุทธ์

ตัวชี้วัดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์
  • ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (Sulfur Dioxide: SO2)

  • ออกไซด์ของไนโตรเจน ซึ่งคำนวณในรูปของก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (Oxides of Nitrogen: NOx)
  • ปริมาณการระบายสารอินทรีย์ระเหย (Volatile Organic Compounds: VOCs)
  • ไม่เกิน 26 ตันซัลเฟอร์ไดออกไซด์ต่อล้านบาร์เรลน้ำมันดิบเทียบเท่า ภายในปี 2573

  • ไม่เกิน 43  ตันออกไซด์ของไนโตรเจนต่อล้านบาร์เรลน้ำมันดิบเทียบเท่า ภายในปี 2573

  • ไม่เกิน 77 ตันสารอินทรีย์ระเหยต่อล้านบาร์เรลน้ำมันดิบเทียบเท่า ภายในปี 2573
  • ปริมาณของเสียอันตรายจากอุตสาหกรรมที่ส่งไปกำจัดด้วยวิธีการฝังกลบ
  • ปริมาณของเสียอันตรายจากอุตสาหกรรมที่ส่งไปกำจัดด้วยวิธีการฝังกลบเป็นศูนย์1
  • ปริมาณของเสียไม่อันตรายจากอุตสาหกรรมที่ส่งไปกำจัดด้วยวิธีการฝังกลบ
  • ปริมาณของเสียไม่อันตรายจากอุตสาหกรรมที่ส่งไปกำจัดด้วยวิธีการฝังกลบเป็นศูนย์1
  • การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรงและทางอ้อม
  • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ กลุ่ม ปตท.2 ลงร้อยละ 15 ภายในปี 2573 เมื่อเทียบกับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
    ปีฐาน 2563
  • การใช้น้ำ

ลดปริมาณการใช้น้ำในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง และควบคุมปริมาณน้ำใช้ไม่ให้เพิ่มขึ้นในพื้นที่ที่มีปริมาณการใช้น้ำสูงโดยกลุ่ม ปตท. กำหนดเป้าหมายประสิทธิภาพการใช้น้ำในอาคารสำนักงานและในพื้นที่ปฏิบัติการ ดังนี้

  • ลดความเข้มปริมาณน้ำใช้ (Water Intensity) ในปี 2573 ร้อยละ 10 สำหรับอาคารสำนักงาน เมื่อเทียบกับข้อมูลปีฐาน 2556
  • กำหนดเป้าหมายควบคุมและติดตามการดึงน้ำจืด (Freshwater Withdrawal) ของกลุ่ม ปตท. รวมไม่เกิน 70 ล้านลูกบาศก์เมตร ในปี 2567
  • การจัดการของเสียตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน
  • กำหนดเป้าหมายของเสียที่ถูกจัดการแบบหมุนเวียน (% of Wastes that are managed circularly) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ในปี 25733

หมายเหตุ:

1. ไม่รวมของเสียอุตสาหกรรมจากการดำเนินงาน ดังต่อไปนี้
          • กรณีกรมโรงงานอุตสาหกรรมหรือหน่วยงานราชการไม่อนุญาตให้ส่งของเสียอุตสาหกรรมกำจัดด้วยวิธีอื่น
          • กรณีไม่สามารถนำของเสียอุตสาหกรรมกลับมาใช้ประโยชน์ได้เนื่องจากไม่มีเทคโนโลยีในประเทศรองรับ
     ทั้งนี้สอดคล้องกับเกณฑ์รางวัลการใช้ประโยชน์ของเสียได้ทั้งหมด (Zero Waste to Landfill Achievement Award) โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม
2.  ค่าเป้าหมายระยะยาวของการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในปี 2573 ได้รับการทบทวนและปรับปรุงใหม่ในปี 2564
3.  ไม่รวมของเสียที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามปกติ (Non-routine waste)

การบริหารจัดการประเด็นสำคัญสิ่งแวดล้อม

ประเด็นการบริหารจัดการเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นวาระเร่งด่วนที่ทั่วภาคส่วนให้ความสำคัญ ได้มีการติดตามและประเมินความเสี่ยงและโอกาสในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยมุ่งมั่นยกระดับการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างเต็มที่ ตามนโยบายของประเทศ รวมทั้งเพื่อให้สอดคล้องตามวิสัยทัศน์ของ ปตท. ที่มีความมุ่งมั่นเป็นพลังในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ที่กำหนด 

ปตท. และบริษัทในกลุ่ม ปตท. ให้ความสำคัญกับ การดำเนินงานด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนและการจัดการของเสีย ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG Model) สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยได้ร่วมศึกษาและกำหนดเป้าหมายของเสียที่ถูกจัดการแบบหมุนเวียน (% of Wastes that are managed circularly) ให้มีสัดส่วนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ภายในปี 2573 

สำหรับการบริหารจัดการน้ำเชิงบูรณาการ ปตท. และบริษัทในกลุ่ม ปตท. ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทั้งฝั่งอุปสงค์และอุปทานอย่างสมดุล โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิการใช้น้ำของชุมชนและสังคม และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยได้ร่วมกันศึกษาและกำหนดเป้าหมายควบคุมและติดตามการดึงน้ำจืด (Freshwater Withdrawal) ของกลุ่ม ปตท. โดยกำหนดให้มีปริมาตรรวมไม่เกิน 74 ล้านลูกบาศก์เมตร ในปี 2566 และไม่เกิน 70 ล้านลูกบาศก์เมตร ในปี 2567 นอกจากนี้ ปตท. ไม่มีการจ่ายเงินค่าปรับหรือถูกลงโทษด้านสิ่งแวดล้อมใด

นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการมลพิษทางอากาศ การหกล้นรั่วไหลของน้ำมันและสารเคมี และความหลากหลายทางชีวภาพ  โดยมีการติดตามตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องและเคร่งครัดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยในกรณีหากตรวจพบว่าผลการตรวจวัดตามมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมไม่เป็นไปตามข้อกำหนด ปตท.จะจัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อปรับปรุงแก้ไข และปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดขึ้น รวมถึงรายงานข้อมูลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นไปตามแนวทางและกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด 

การลงทุนสิ่งแวดล้อม

ปตท. จัดเก็บและบันทึกข้อมูลค่าใช้จ่าย รายได้ และการลงทุนด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 ได้มีการขยายผลการจัดเก็บและบันทึกข้อมูลฯ ดังกล่าว ไปยังบริษัทในกลุ่ม ปตท. จำนวน 6 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC) และบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) และบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) นอกจากนี้ยังพัฒนาเครื่องมือในการประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Return on Investment: EROI) เพื่อใช้วัดประสิทธิผลของการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมในรูปแบบตัวเงินที่ชัดเจนมากขึ้น สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริงของค่าใช้จ่ายและการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมขององค์กรตามมาตรฐานสากล “Environmental Management Accounting Procedures and Principles, The United Nations” 

การละเมิดข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมCSA 2.2.5

จากเหตุการณ์ก๊าซธรรมชาติและน้ำมันรั่วไหลจากแหล่งมอนทารา เมื่อปี 2552 ซึ่งดำเนินการโดย  บริษัท PTTEP Australasia (Ashmore Cartier) Pty Ltd (PTTEP AAA) บริษัทย่อยของ บริษัท ปตท. สำรวจและ ผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) PTTEP AAA  ได้แสดงความจํานงที่จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการควบคุมและลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ดังกล่าว และได้จัดสรรเงินทุนเพื่อศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ตั้งแต่ปี 2552  และจากกรณีข้างต้น ทำให้กลุ่มผู้เลี้ยงสาหร่ายในประเทศอินโดนีเซียได้ยื่นฟ้องบริษัท PTTEP AAA ต่อศาลสหพันธรัฐ ประเทศออสเตรเลีย โดยเป็นการดำเนินคดีแบบกลุ่ม (Class Action) ปี 2565 ปตท.สผ. ได้รับแจ้งว่า PTTEP AAA ได้มีการเจรจาไกล่เกลี่ยภายใต้การดำเนินคดีแบบกลุ่มจากเหตุการณ์มอนทารากับกลุ่มผู้เลี้ยงสาหร่ายในประเทศอินโดนีเซียตามคำสั่งศาลสหพันธรัฐประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นขั้นตอนตามปกติของกฎหมายประเทศออสเตรเลียและได้บรรลุข้อตกลงในหลักการโดย PTTEP AAA จะชำระเงินจำนวน 192.5 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (หรือเทียบเท่าประมาณ 129 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา) เพื่อระงับการดำเนินคดีแบบกลุ่มทั้งหมด (รวมถึงการอุทธรณ์) กับกลุ่มผู้เลี้ยงสาหร่ายในประเทศอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงในหลักการเพื่อระงับการดำเนินคดีแบบกลุ่มนี้ไม่ถือเป็นการรับผิดของ PTTEP AAA โดยยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ในขณะนี้เนื่องจากข้อตกลงในหลักการดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลสหพันธรัฐประเทศออสเตรเลีย [LINK: จดหมายชี้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ]