ความยั่งยืน

การบริหารจัดการน้ำเชิงบูรณาการ

ความยั่งยืน

การบริหารจัดการน้ำเชิงบูรณาการ

การสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
     





ผลกระทบเชิงบวกและเชิงลบ

น้ำเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญต่อการอุปโภคบริโภค และมีความจำเป็นทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคการเกษตร ในปัจจุบันความต้องการใช้น้ำมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การขยายตัวของชุมชนเมือง รวมถึงความแปรปรวนทางสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนน้ำ ภาวะน้ำท่วม หรือแม้แต่มลพิษทางน้ำ ดังนั้นกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องเร่งปรับตัว พัฒนานวัตกรรม และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำให้ดียิ่งขึ้น เพื่อแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการบริหารความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ

ปตท. ตระหนักดีว่ากิจกรรม การดำเนินงานและกระบวนการผลิตของบริษัท รวมทั้งในกลุ่ม ปตท. จำเป็นต้องใช้น้ำเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่สำคัญ ซึ่งอาจต้องใช้น้ำในปริมาณมาก อีกทั้งน้ำทิ้งที่เกิดจากกระบวนการผลิต อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อแหล่งน้ำรองรับและสิ่งแวดล้อม ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของชุมชน สังคม ตลอดจนภาคการเกษตรได้  นอกจากนี้ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวเร่งให้เกิดผลกระทบที่เร็วและทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น  ปตท. จึงได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำเชิงบูรณาการ โดยกำหนดให้เป็นหนึ่งในประเด็นด้านการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมตั้งแต่การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ การใช้น้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การลดปริมาณการใช้น้ำและการนำน้ำกลับมาใช้ประโยชน์เพื่อลดการเกิดน้ำเสีย ซึ่งสอดคล้องตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) รวมถึงการสร้างความตระหนักในการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการของ ปตท. และกลุ่ม ปตท. จะไม่ส่งผลกระทบต่อสิทธิการใช้น้ำของชุมชน อีกทั้งยังมีความสอดคล้องกับกฎหมายและแนวทางการการดำเนินงานตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติของประเทศไทย 

วัตถุประสงค์/ เป้าหมาย

ปตท. กำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ ลดปริมาณการใช้น้ำในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงและควบคุมปริมาณน้ำใช้ไม่ให้เพิ่มขึ้นในพื้นที่ที่มีปริมาณการใช้น้ำสูงในอาคารสำนักงานและในพื้นที่ปฏิบัติการ ได้แก่

  • ลดความเข้มปริมาณน้ำใช้ (Water Intensity) (ลิตรต่อคนต่อวัน)  ในปี 2573 ร้อยละ 10 สำหรับอาคารสำนักงาน เมื่อเทียบกับข้อมูลปีฐาน 2556
  • ควบคุมและติดตามการดึงน้ำจืด (Freshwater Withdrawal) ของกลุ่ม ปตท. โดย ปตท. และบริษัทในกลุ่ม ปตท. ได้ร่วมกันศึกษาและกำหนดเป้าหมายควบคุมและติดตามการดึงน้ำจืด (Freshwater Withdrawal) ของกลุ่ม ปตท. โดยกำหนดให้มีปริมาตรไม่เกิน 74 ล้านลูกบาศก์เมตร ในปี 2565 

แนวทางการจัดการ

นโยบายการจัดการทรัพยากรน้ำ ของ ปตท.

ปตท. มุ่งมั่นยกระดับประสิทธิภาพการใช้น้ำ เป็นส่วนหนึ่งของ การบริหารจัดการด้าน SSHE มีการกำหนดนโยบาย เป้าหมายระยะยาวและประจำปี  ควบคุมการดึงน้ำมาใช้ทั้งในภาคผลิตและอาคารสำนักงาน โดยมุ่งเน้นนำกลับมาใช้ใหม่/ นำมาใช้ซ้ำให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีการติดตามตรวจวัดและรายงานข้อมูลผลการดำเนินงานเทียบเป้าหมายให้ผู้บริหารแต่ละพื้นที่/ สายงาน  ทบทวนประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างต่อเนื่อง รวมถึงโครงสร้างกำกับดูแลด้านความยั่งยืนที่กำหนด เป็นรายไตรมาส 

กระบวนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ

ปตท. กำหนดกระบวนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งภายในและภายนอกองค์กร ดังนี้

ประเภทดำเนินกิจกรรมเพื่อการบริหารจัดการน้ำ
การบริหารจัดการความเสี่ยงภายนอกองค์กร
  • ประเมินความเสี่ยงและผลกระทบด้านน้ำต่อการดำเนินกิจการของกลุ่ม ปตท. ประกอบด้วยความเสี่ยงทางกายภาพทั้งปริมาณน้ำและคุณภาพน้ำ โดยใช้เครื่องมือและมาตรฐานการประเมินสากล ได้แก่ AQUEDUCT, WBCSD Global Water Tool, CERES Aqua Gauge และ Water Footprint Assessment รวมถึงความเสี่ยงด้านกฎหมายและความเสี่ยงด้านชื่อเสียงขององค์กร
  • วิเคราะห์และจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงเพื่อลดผลกระทบด้านน้ำของแต่ละบริษัท โดยกำหนดกรณีพิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดจากมาตรการถูกลดการใช้น้ำดิบเป็นเวลา 4 เดือน แบ่งการพิจารณาเป็น 3 กรณี คือ ผลกระทบจากการถูกให้ลดการใช้น้ำลงร้อยละ 10, 20 และ 30 ซึ่งอาจมีผลกระทบอย่างมากต่อการผลิตของโรงงานอาจถึงขั้นต้องหยุดการผลิตชั่วคราว
  • ประเมินและติดตามสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง ทั้งสถานการณ์น้ำต้นทุนและปริมาณน้ำฝน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการน้ำ บริหารจัดการความเสี่ยง และลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อการใช้น้ำของระบบนิเวศ การเกษตร การประมง สังคมชุมชน สิ่งแวดล้อมและการดำเนินธุรกิจตามปกติ
  • เข้าไปมีส่วนร่วมในคณะทำงานการบริหารจัดการน้ำของภาคตะวันออก ซึ่งประกอบด้วย หน่วยงานราชการ บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกและผู้แทนจากภาคเอกชน เพื่อติดตามสถานการณ์ ประเมินความเสี่ยง วิเคราะห์สถานการณ์น้ำในระดับลุ่มน้ำและกำหนดมาตรการต่าง ๆ รวมถึงการติดตามนโยบายด้านการบริหารจัดการน้ำของหน่วยงานภาครัฐ เอกชนและท้องถิ่น เช่น การกำหนดกลไกและโครงสร้างราคาค่าน้ำในพื้นที่ EEC การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในเส้นท่อสายหลักของภาคตะวันออก เป็นต้น
  • ติดตามเฝ้าระวังปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำหลักที่เกี่ยวข้อง กำหนดมาตรการในการบริหารจัดการน้ำก่อนเกิดภัยแล้ง ระหว่างเกิดภัยแล้ง และมาตรการเพื่อให้มีน้ำใช้ระยะยาว ตลอดจนการพิจารณาแหล่งน้ำทดแทน เพิ่มปริมาณกักเก็บน้ำเพื่อการผลิตเช่น การสร้างบ่อน้ำสำรอง การติดตั้งหน่วยผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล เป็นต้น ซึ่งจะเสริมสร้างความมั่นคงในสายการผลิตของกลุ่ม ปตท. ลดผลกระทบหากเกิดภาวะภัยแล้งหรือกรณีเกิดการขาดแคลนน้ำในพื้นที่ และช่วยลดประเด็นข้อกล่าวหาเรื่องภาคอุตสาหกรรมแย่งน้ำจากชุมชน
  • บูรณาการความร่วมมือและสนับสนุนเพื่อให้เกิดการพัฒนา สร้างความมั่นคงและยั่งยืนของการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยมีเป้าหมายในการควบคุมปริมาณน้ำกักเก็บสำหรับพื้นที่ปฏิบัติการของกลุ่ม ปตท. จังหวัดระยอง ซึ่งครอบคลุมอ่างเก็บน้ำดอกกราย อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล และอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ ไม่น้อยกว่า 240 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมทั้งติดตามและสนับสนุนให้โครงการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ให้มีศักยภาพในการรองรับความต้องการน้ำที่เพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ภายในปี 2579 ตามแผนงานของรัฐบาล
  • เข้าไปมีส่วนร่วมกับสถาบันน้ำและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในการผลักดันเชิงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำของประเทศทั้งการแก้ปัญหาในระยะสั้น และสร้างความยั่งยืนด้านทรัพยากรน้ำในระยะยาว
  • มุ่งมั่นดำเนินการตามหลัก 2Rs (Reserve และ Re-Visualize) โดยติดตามความก้าวหน้าของโครงการพัฒนาแหล่งน้ำของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
การบริหารจัดการความเสี่ยงภายในองค์กร
  • จัดทำแผนกลยุทธ์ด้านการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ด้านการจัดการสภาพภูมิอากาศและการจัดการความเสี่ยงของกลุ่ม ปตท.
  • กำหนดเป้าหมาย ประเมิน และติดตามประสิทธิภาพการใช้น้ำขององค์กร เช่น เป้าหมายในการลดความเข้มปริมาณน้ำใช้ (Water Intensity) ในปี 2573 ร้อยละ 12.6 สำหรับภาคการผลิตและร้อยละ 10 สำหรับอาคารสำนักงาน เมื่อเทียบกับข้อมูลปีฐาน 2556 รวมถึงกำหนดเป้าหมายควบคุมและติดตามการดึงน้ำจืด (Freshwater Withdrawal) ของกลุ่ม ปตท. ไม่เกิน 74 ล้านลูกบาศก์เมตร ในปี 2565
  • ยกระดับการบริหารจัดการน้ำตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ด้วยความมุ่งมั่นดำเนินการตามหลัก 3Rs (Reduce, Reuse, Recycle) เพื่อลดการใช้น้ำ เพิ่มการใช้น้ำหมุนเวียนซ้ำ เพิ่มการนำน้ำทิ้งกลับมาใช้ใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาการใช้น้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะ เช่น การผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลและการศึกษาพัฒนานวัตกรรมเพื่อการนำน้ำที่ใช้แล้วมาบำบัดและนำกลับมาใช้ใหม่ เป็นต้น

หมายเหตุ:

•  การบริหารจัดการความเสี่ยงภายนอกองค์กร เช่น ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากแหล่งที่ตั้งของโรงงานและปัจจัยภายนอกอื่น ๆ เช่น ความเสี่ยงด้านปริมาณและคุณภาพน้ำต้นทุน ความเสี่ยงด้าน
   นโยบายภาครัฐและกฎหมาย ความเสี่ยงด้านสังคม เป็นต้น
•  การบริหารจัดการความเสี่ยงภายในองค์กร เช่น การควบคุมและติดตามปริมาณน้ำใช้ การติดตามคุณภาพน้ำทิ้งจากระบบบำบัด เป็นต้น
•  ปัจจุบัน GC และ TOP มีการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลด้วยระบบที่มีอยู่อย่างเต็มศักยภาพเพื่อนำไปใช้ในกระบวนการผลิต และอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายกำลังการผลิตน้ำ
   จืดจากน้ำทะเลเพื่อลดการพึ่งพาการใช้น้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะ


นอกจากนี้ ปตท. ยังได้ตระหนักถึงผลกระทบของคุณภาพน้ำทิ้งจากสถานประกอบการของตนเองต่อชุมชนรอบข้าง และสิ่งแวดล้อม โดยได้ควบคุมคุณภาพน้ำทิ้งก่อนปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด ได้แก่ ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากโรงงาน พ.ศ. 2560 และประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากอาคารบางประเภทและบางขนาด พ.ศ. 2548 เป็นต้น รวมทั้งควบคุมให้เป็นไปตามที่ระบุในมาตรการแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการ (Environmental Impact Assessment: EIA) เฉพาะของสถานประกอบการนั้น 

ผลจากการคาดการณ์ความเสี่ยงการใช้น้ำของกลุ่มบริษัท ปตท. โดยใช้เครื่องมือ AQUEDUCT และ WATER RISK FILTER (WRF)SDGs 6.4 พบว่า พื้นที่ตั้งโรงงานของกลุ่มบริษัท ปตท. บริเวณภาคตะวันออกมีความเสี่ยงอยู่ในระดับปานกลางค่อนไปทางสูง (Water stress and water scarcity) และมีแนวโน้มที่จะมีความเสี่ยงสูงขึ้นในอนาคต ถ้ากรณียังดำเนินการแบบ BAU ในปี 2573 ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเป็นขนาด 1.4 เท่าของค่าเดิม 

ในปี 2565 แม้ว่าจะมีการดึงน้ำมาใช้ในกิจกรรมการดำเนินงานและกระบวนการผลิตของ ปตท. มากยิ่งขึ้น แต่จากการประยุกต์ใช้หลัก 3R มาบริหารจัดการน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอย่างจริงจัง ทำให้ยังคงมีการนำกลับมาใช้ใหม่ในกิจกรรมการดำเนินงานมากขึ้นและมีการนำกลับมาใช้ใหม่และใช้ซ้ำในปริมาณที่สูงเช่นกัน ซึ่งช่วยลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งในมุมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดผลกระทบจากมลพิษทางน้ำ รวมทั้งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของชุมชนและประชาชนอีกด้วย  

โครงการ/ Initiatives ที่สำคัญ

การบริหารจัดการน้ำตามหลัก 3RsSDGs 6.3, 6.4, 6.5, 6.a 

ปตท. และกลุ่ม ปตท. ได้นำหลัก 3Rs มาใช้เพื่อยกระดับการบริหารจัดการน้ำที่แหล่งกำเนิดอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง โดยมีตัวอย่างของการนำเทคโนโลยีและโครงการต่าง ๆ ที่สำคัญ ดังนี้

  • การเปลี่ยนระบบน้ำหล่อเย็นที่โรงไฟฟ้าจากระบบเปิดเป็นระบบปิด ทำให้สามารถลดการใช้น้ำ
  • โครงการนำพลังงานความร้อนที่เหลือจากหม้อไอน้ำทิ้ง (Blow-down Tank) มาใช้ เช่น การลดปริมาณการใช้น้ำหล่อเย็นที่ใช้ในการลดอุณหภูมิก่อนปล่อยสู่บ่อบำบัดน้ำเสีย รวมทั้งนำน้ำระบายทิ้ง (Blow-down Water) มารดน้ำต้นไม้
  • โครงการ Reverse Osmosis Intermediated เพื่อนำน้ำกลับมาใช้ในการหล่อเย็น เพื่อใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด
  • โครงการนำน้ำ Condensate กลับมาใช้ในกระบวนการผลิตไอน้ำ
  • โรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 5 มีการนำน้ำทิ้งที่เกิดจากกระบวนการ Dehydration มาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยนำมาใช้ทดแทนเป็นน้ำ Make up ในกระบวนการ Acid Gas Removal Unit (AGRU) ช่วยลดปริมาณน้ำ Make up ได้ 17,500 ลูกบาศก์เมตรต่อปี
  • ครงการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล (Desalination) ของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) สามารถลดการใช้น้ำได้ถึงร้อยละ 10-20
  • การศึกษาความเป็นไปได้ของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำด้วยระบบ Eco Industrial ซึ่งจะดึงน้ำทิ้งซึ่งผ่านการบำบัดแล้ว กลับมาเป็นน้ำที่สามารถใช้ได้ใหม่อีกครั้ง เพื่อใช้ในการบริหารจัดการน้ำให้แก่กลุ่ม ปตท.
  • การศึกษา พัฒนาและขยายผลนวัตกรรมระบบ Greywater Recycle เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการลดการใช้น้ำด้วยการนำน้ำที่ใช้แล้วมาบำบัดและนำกลับมาใช้ใหม่ โดยในปี 2565 มีการขยายผลการติดตั้งนวัตกรรมเพิ่มอีก 1 จุด ในพื้นที่ ปตท. สำนักงานใหญ่ ทำให้ระบบดังกล่าว สามารถนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ได้รวม 90 ลิตรต่อชั่วโมง และมีคุณภาพน้ำผ่านตามเกณฑ์มาตรฐาน US EPA Guideline
การขยายผลโครงการนวัตกรรมต้นแบบ Greywater RecycleSDGs 6.3, 6.4, 6.5, 6.a 
สถาบันนวัตกรรม ปตท. ได้ศึกษาและพัฒนาโครงการนวัตกรรมต้นแบบ Greywater Recycle สำหรับนำน้ำที่ผ่านการใช้แล้วจากการล้างมือ มาบำบัดและนำกลับมาใช้กับสุขภัณฑ์ โดยดำเนินโครงการนำร่องในพื้นที่ ปตท. สำนักงานใหญ่ ซึ่งนวัตกรรมดังกล่าว สามารถนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ได้ถึง 30 ลิตรต่อชั่วโมง และมีคุณภาพน้ำผ่านตามเกณฑ์มาตรฐาน US EPA Guideline 

ในปี 2565 มีการขยายผลโดยพัฒนาระบบ Greywater Recycle Prototype#Gen 2 ซึ่งมีขนาดเล็กลงสามารถติดตั้งในบริเวณที่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่ และได้ติดตั้งนวัตกรรมเพิ่มอีก 1 จุด ได้แก่ บริเวณอาคารสำนักงานในพื้นที่ ปตท. สำนักงานใหญ่ ทำให้สามารถนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ได้เพิ่มขึ้นมากถึง 60 ลิตรต่อชั่วโมง รวมทั้งหมด 90 ลิตรต่อชั่วโมง และมีคุณภาพน้ำผ่านตามเกณฑ์มาตรฐาน US EPA Guideline



งานส่งเสริมการประเมินการใช้น้ำตลอดวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Water Footprint) ตามมาตรฐาน ISO 14046SDGs 6.5, 6.a
สถาบันน้ำเพื่อความยั่งยืน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยร่วมกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ได้ริเริ่มโครงการประเมินการใช้น้ำตลอดวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Water Footprint) เพื่อส่งเสริมมาตรฐาน ISO 14046 ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจากคณะทำงานการบริหารจัดการน้ำ กลุ่ม ปตท. เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการเทคนิคในการกำหนดมาตรฐานการประเมิน และให้การสนับสนุนทางด้านเทคนิคกับบริษัทในกลุ่ม ปตท.เพื่อเข้าร่วมโครงการจนผลิตภัณฑ์ของ GC และ GPSC ได้รับการรับรองฉลาก Water Footprint จากการดำเนินงานในบริษัทนำร่องส่งผลให้เกิดการพัฒนาฐานข้อมูลการใช้น้ำที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตและพัฒนาองค์ความรู้เพื่อขยายผลต่อไปยังบริษัทอื่น ๆ ในกลุ่ม ปตท. ต่อไป

ในปี 2565 กลุ่ม ปตท. ยังคงดำเนินการตามมาตรการและแนวทางดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่า การใช้น้ำของกลุ่ม ปตท. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

การติดตั้งเทคโนโลยี Zero Liquid Discharge (ZLD) โรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 7 ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง
โรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 7 มีแผนดำเนินการติดตั้งเทคโนโลยี Zero Liquid Discharge (ZLD) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการนำน้ำที่ผ่านระบบบำบัดน้ำเสียแล้วกลับมาใช้ใหม่และไม่มีการปล่อยน้ำออกจากระบบออกสู่ภายนอกส่งผลให้การใช้น้ำลดลงเมื่อเทียบกับโรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 1


การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเชิงยุทธศาสตร์ในพื้นที่ภาคตะวันออกGRI 303-1, GRI 303-2 

ในการจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงและโอกาสในพื้นที่ยุทธศาสตร์ของกลุ่ม ปตท. ได้แก่ ภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดระยองและชลบุรี ซึ่งเคยเกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำเมื่อปี 2548 อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของสายการผลิตหลักที่มีนัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ  ปตท. ได้ จัดตั้ง คณะทำงานบริหารจัดการน้ำกลุ่ม ปตท. (PTT Group Water Management Team) ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการน้ำและระบบสาธารณูปการของบริษัทในกลุ่ม ปตท. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน ตั้งแต่การวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงและโอกาส การจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงในกรณีเกิดภัยแล้งทั้งในระยะสั้นและระยะยาว  การติดตาม ประเมิน คาดการณ์และรายงานสถานการณ์น้ำในพื้นที่ต่าง ๆ รวมถึงดำเนินการจัดทำ แผนกลยุทธ์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำด้วยหลัก 3Rs (Reduce, Reuse, Recycle) และแผนการบริหารจัดการน้ำทิ้ง อย่างมีประสิทธิภาพ และผลักดันให้เกิดความร่วมมือและแบ่งปันแนวทางการบริหารจัดการน้ำที่เป็นเลิศ  อีกทั้งมีการแต่งตั้งคณะทำงานบริหารจัดการน้ำแบบองค์รวม (Central water management) เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำในด้านที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 คณะทำงานย่อย ได้แก่
  • คณะบริหารจัดการน้ำด้านอุปสงค์ (Water demand management)
  • คณะบริหารจัดการน้ำด้านอุปทาน (Water supply management)
  • คณะบริหารจัดการธุรกิจน้ำ (PTTs water business)
ครอบคลุมการดำเนินงานด้านการติดตามผลการดำเนินงานด้านการใช้น้ำของกลุ่ม ปตท. การติดตามสถานการณ์แหล่งน้ำและการประสานงานกับผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการดำเนินงานด้านกลยุทธ์และธุรกิจด้านน้ำ เป็นต้น ซึ่งความก้าวหน้าและผลการดำเนินงานจะถูกติดตามและรายงานให้แก่ผู้บริหารระดับสูง ได้แก่ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริหารความร่วมมือกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริหารกลยุทธ์กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย  เพื่อรายงาน PTT Group Management Committee ต่อไป

งานโครงการศึกษาวิจัยคาดการณ์แนวโน้มสภาพน้ำต้นทุนเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำพื้นที่ภาคตะวันออกSDGs 6.3, 6.4, 6.5, 6.a, 17
คณะทำงานการบริหารจัดการน้ำกลุ่ม ปตท. ได้ติดตามสถานการณ์น้ำและคาดการณ์แนวโน้มทรัพยากรน้ำต้นทุนในอนาคตโดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีคาดการณ์สภาพอากาศระยะยาวร่วมกับแบบจำลองทางอุทกวิทยา เพื่อประเมินแนวโน้มปริมาณน้ำต้นทุนอ่างเก็บน้ำหลักในพื้นที่จังหวัดระยองล่วงหน้าในระยะ 6 เดือน 1 ปีและ 20 ปี และพบว่าหากไม่มีการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่อย่างเหมาะสมอาจทำให้ความเสี่ยงการใช้น้ำของบริษัทในกลุ่ม ปตท. อยู่ในระดับปานกลางหรือสูง ดังนั้น คณะทำงานจึงได้เข้าไปมีส่วนร่วมในคณะทำงานการบริหารจัดการน้ำของภาคตะวันออก ซึ่งประกอบด้วย หน่วยงานราชการ บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกและผู้แทนจากภาคเอกชน เพื่อติดตามสถานการณ์ ประเมินความเสี่ยง วิเคราะห์สถานการณ์น้ำในระดับลุ่มน้ำและกำหนดมาตรการต่าง ๆ จากการดำเนินงานโดยอาศัยความร่วมมือของหลายหน่วยงาน ทำให้ในปี 2565 สถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกอยู่ในเกณฑ์ดี อ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดใหญ่มีปริมาณน้ำกักเก็บมากกว่าร้อยละ 90 ของความจุ ส่งผลให้ในปี 25652566 คาดว่าจะมีปริมาณน้ำเพียงพอกับทุกภาคส่วน ไม่เกิดภาวะขาดแคลนน้ำ โดยเฉพาะการใช้น้ำในภาคเกษตรกรรม ประมง อุตสาหกรรมและการใช้น้ำในการดำเนินธุรกิจปกติของกลุ่ม ปตท. รวมถึงไม่เกิดปัญหาการแย่งน้ำและไม่กระทบสิทธิการใช้น้ำของชุมชน

โครงการ Water excellent contest 2022
คณะทำงานบริหารจัดการน้ำกลุ่ม ปตท. โดยคณะบริหารจัดการน้ำด้านอุปสงค์ (Water demand management) จัดการประกวดโครงการ Water excellent contest 2022 สำหรับกลุ่ม ปตท. เพื่อมุ่งเน้นส่งเสริมการลดการใช้น้ำ การใช้น้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสร้างความตระหนักในการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า โดยเฉพาะในภาคการผลิตของกลุ่ม ปตท. อีกทั้งยังเป็นการแบ่งปันองค์ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและสอดคล้องตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยในปี 2022 มีโครงการที่เข้าร่วมประกวดทั้งหมด 9 โครงการจากหน่วยงานและบริษัทในกลุ่ม ปตท. ซึ่งสามารถลดการใช้น้ำจืด (Fresh water) 3.4 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี โดยโครงการดังกล่าวได้แก่
  • Alum Reduction for Ban Kai Treatment Plant – บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน)
  • Cooling System for Condensate Return – บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน)
  • Heat Recover From Aromatics Plant – บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)
  • SWRO and WWTRO Utilization in GC Group – บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)
  • Backwash Water Optimization – บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
  • Maximize Desalination Unit During Steam Surplus – บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
  • GSP#1 Plant wide Water Conservation and Management – โรงแยกก๊าซธรรมชาติระยอง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
  • CUP1: Steam Blowdown Optimization – บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน)
  • CUP4: Improvement Reduce Loss of Service Water During Weekly Test Fire Water Pumps - บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน)
งานติดตามผลักดันการดำเนินมาตรการป้องกันการขาดแคลนน้ำ ในปี 2565 (ข้อมูล ณ วันที่ 11 มกราคม 2566)SDGs 6.4, 6.a
การติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกพบว่า อ่างเก็บน้ำประแสร์ จ.ระยอง มีปริมาณน้ำเก็บกักอยู่ที่ 262.8 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 89% ในขณะที่ 3 อ่างเก็บน้ำหลักของ จ.ระยอง ซึ่งประกอบด้วย อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล อ่างเก็บน้ำดอกกราย และอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ มีปริมาณน้ำเก็บกักอยู่ที่ 273.6 ล้านลูกบาศก์เมตรคิดเป็น 99% ซึ่งเมื่อพิจารณาสถานการณ์น้ำตลอดปี 2565 พบว่าปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำประแสร์ จ.ระยอง และ3 อ่างเก็บน้ำหลักของ จ.ระยอง มีเพียงพอต่อความต้องการใช้ และมีปริมาณน้ำกักเก็บสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี

ทั้งนี้ ในปี 2565 คณะทำงาน PTT group water supply management  ร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ได้ดำเนินงานตามมาตรการผันน้ำเพื่อป้องกันภัยแล้งในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยสรุปผลการดำเนินงานของโครงการเพิ่มน้ำในพื้นที่ จ.ระยอง (อ่างฯ หนองปลาไหล อ่างฯคลองใหญ่ และอ่างฯประแสร์) และพื้นที่ จ.ชลบุรี (อ่างฯบางพระ อ่างฯ หนองค้อ) ในช่วงวันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ได้ดังนี้

1) ดำเนินโครงการผันน้ำคลองสะพานเติมอ่างเก็บน้ำประแสร์ โดยกรมชลประทาน เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งมีปริมาณสูบน้ำได้ 2.22 ล้านลูกบาศก์เมตร
2) การสูบผันน้ำอ่างเก็บน้ำประแสร์เติมอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล โดยบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ East Water เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งมีปริมาณสูบน้ำตามแผน 3.58 ล้านลูกบาศก์เมตร และผลการสูบน้ำสะสม 3.14 ล้านลูกบาศก์เมตร
3) การสูบผันน้ำอ่างเก็บน้ำประแสร์เติมอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ โดยบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ East Water และการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.)  เป็นผู้ดำเนินโครงการ ซึ่งมีปริมาณสูบน้ำตามแผน 25 ล้านลูกบาศก์เมตร และผลการสูบน้ำสะสม 15.45 ล้านลูกบาศก์เมตร
4) การสูบน้ำจากคลองน้ำหูเข้าสู่พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินโครงการ ซึ่งเป็นการสูบน้ำตามระดับน้ำของคลองน้ำหู
5) การสูบน้ำจากโครงการพระองค์ไชยานุชิต-อ่างฯบางพระ โดย กปภ.ในช่วงฤดูฝน ซึ่งมีปริมาณสูบน้ำตามแผน 39 ล้านลูกบาศก์เมตร และผลการสูบน้ำสะสม 14.97 ล้านลูกบาศก์เมตร
6) การสูบน้ำจาก น.บางปะกง-อ่างฯบางพระ โดย East Water ในช่วงฤดูฝน ซึ่งมีปริมาณสูบน้ำตามแผน 23.6 ล้านลูกบาศก์เมตร และผลการสูบน้ำสะสม 7.77 ล้านลูกบาศก์เมตร

การติดตามผลักดันโครงการพัฒนาแหล่งน้ำระยาว (โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการและเป็นไปตามแผน)
  • อ่างฯ คลองพะวาใหญ่ จ.จันทบุรี (ปี 2560-2566)
  • อ่างฯ คลองหางแมว จ.จันทบุรี (ปี 2560-2566)
  • ปรับปรุงเครือข่ายน้ำอ่างฯ คลองใหญ่- อ่างฯ หนองปลาไหล (ปี 2562-2565)
  • ปรับปรุงคลองพานทอง- อ่างฯบางพระ (ปี 2561-2566)

ผลการดำเนินงานที่สำคัญ

สรุปความก้าวหน้าในการดำเนินงาน ของ ปตท.  

ร้อยละของปริมาณน้ำที่นำกลับมาใช้ใหม่และนำกลับมาใช้ซ้ำ ต่อปริมาณดึงน้ำ (น้ำจืด) ทั้งหมดของ ปตท.

ปี2562256325642565
ผลการดำเนินงาน 9.18 7.62 6.32 8.11

ปริมาณน้ำกักเก็บสำหรับพื้นที่ปฏิบัติการของ ปตท. จังหวัดระยอง (ล้านลูกบาศก์เมตร)

หมายเหตุ:

ขอบเขตข้อมูลครอบคลุมอ่างเก็บน้ำ 3 แห่งหลักในพื้นที่จังหวัดระยอง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำดอกกราย อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล และอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่

ปริมาณการดึงน้ำทั้งหมดของ ปตท. ในปี 2565 (ลูกบาศก์เมตร)
น้ำผิวดินน้ำทะเลน้ำประปาน้ำใต้ดินน้ำฝน
35,550 84,133 1,469,636 63,097 216,168


ปริมาณการดึงน้ำรวมของ ปตท. (ล้านลูกบาศก์เมตร)​​


สรุปความก้าวหน้าในการดำเนินงานของกลุ่ม ปตท. 

ปริมาณการดึงน้ำจืด (ล้านลูกบาศก์เมตร)​​​

ปริมาณการใช้น้ำจืด (ล้านลูกบาศก์เมตร)​​​

หมายเหตุ: ขอบเขตข้อมูลครอบคลุม ปตท. และบริษัทในกลุ่ม (GC, IRPC, GPSC, PTTEP, TOP, OR)

 

ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและค่าเสียโอกาส (เช่น รายได้ที่เสียไป)
จากเหตุละเมิดที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ (บาท)

ปี2562256325642565
ค่าใช้จ่าย 0 0 0 0