ความยั่งยืน

การบริหารจัดการน้ำเชิงบูรณาการ

ความยั่งยืน

การบริหารจัดการน้ำเชิงบูรณาการ

การสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
      





ผลกระทบเชิงบวกและเชิงลบ

น้ำเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญต่อการอุปโภคบริโภค และมีความจำเป็นทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคการเกษตร ในปัจจุบันความต้องการใช้น้ำมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การขยายตัวของชุมชนเมือง รวมถึงความแปรปรวนทางสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนน้ำ ภาวะน้ำท่วม หรือแม้แต่มลพิษทางน้ำ ดังนั้นกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องเร่งปรับตัว พัฒนานวัตกรรม และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำให้ดียิ่งขึ้น เพื่อแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการบริหารความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ

ปตท. ตระหนักดีว่ากิจกรรม การดำเนินงานและกระบวนการผลิตของบริษัท รวมทั้งในกลุ่ม ปตท. จำเป็นต้องใช้น้ำเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่สำคัญ ซึ่งอาจต้องใช้น้ำในปริมาณมาก อีกทั้งน้ำทิ้งที่เกิดจากกระบวนการผลิต อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อแหล่งน้ำรองรับและสิ่งแวดล้อม ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของชุมชน สังคม ตลอดจนภาคการเกษตรได้  นอกจากนี้ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวเร่งให้เกิดผลกระทบที่เร็วและทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น  ปตท. จึงได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำเชิงบูรณาการ โดยกำหนดให้เป็นหนึ่งในประเด็นด้านการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมตั้งแต่การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ การใช้น้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การลดปริมาณการใช้น้ำและการนำน้ำกลับมาใช้ประโยชน์เพื่อลดการเกิดน้ำเสีย ซึ่งสอดคล้องตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) รวมถึงการสร้างความตระหนักในการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการของ ปตท. และกลุ่ม ปตท. จะไม่ส่งผลกระทบต่อสิทธิการใช้น้ำของชุมชน อีกทั้งยังมีความสอดคล้องกับกฎหมายและแนวทางการการดำเนินงานตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติของประเทศไทย

วัตถุประสงค์/ เป้าหมาย

ปตท. กำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ ลดปริมาณการใช้น้ำในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงและควบคุมปริมาณน้ำใช้ไม่ให้เพิ่มขึ้นในพื้นที่ที่มีปริมาณการใช้น้ำสูงในอาคารสำนักงานและในพื้นที่ปฏิบัติการ ได้แก่ 

  • ลดความเข้มปริมาณน้ำใช้ (Water Intensity) (ลิตรต่อคนต่อวัน)  ในปี 2573 ร้อยละ 10 สำหรับอาคารสำนักงาน เมื่อเทียบกับข้อมูลปีฐาน 2556
  • ควบคุมและติดตามการดึงน้ำจืด (Freshwater Withdrawal) ของกลุ่ม ปตท. โดย ปตท. และบริษัทในกลุ่ม ปตท. ได้ร่วมกันศึกษาและกำหนดเป้าหมายควบคุมและติดตามการดึงน้ำจืด (Freshwater Withdrawal) ของกลุ่ม ปตท. โดยกำหนดให้มีปริมาตรไม่เกิน 70 ล้านลูกบาศก์เมตร ในปี 2567

แนวทางการจัดการGRI 303-1, GRI 303-2

นโยบายการจัดการทรัพยากรน้ำ ของ ปตท.

ปตท. มุ่งมั่นยกระดับประสิทธิภาพการใช้น้ำ เป็นส่วนหนึ่งของ การบริหารจัดการด้าน SSHE มีการกำหนดนโยบาย เป้าหมายระยะยาวและประจำปี  ควบคุมการดึงน้ำมาใช้ทั้งในภาคผลิตและอาคารสำนักงาน โดยมุ่งเน้นนำกลับมาใช้ใหม่/ นำมาใช้ซ้ำให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีการติดตามตรวจวัดและรายงานข้อมูลผลการดำเนินงานเทียบเป้าหมายให้ผู้บริหารแต่ละพื้นที่/ สายงาน  ทบทวนประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างต่อเนื่อง รวมถึงโครงสร้างกำกับดูแลด้านความยั่งยืนที่กำหนด เป็นรายไตรมาส

กระบวนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ

ปตท. กำหนดกระบวนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งภายในและภายนอกองค์กร ดังนี้

ประเภท

ดำเนินกิจกรรมเพื่อการบริหารจัดการน้ำ

การบริหารจัดการความเสี่ยงภายนอกองค์กร
  • ประเมินความเสี่ยงและผลกระทบด้านน้ำต่อการดำเนินกิจการของกลุ่ม ปตท. ประกอบด้วยความเสี่ยงทางกายภาพทั้งปริมาณน้ำและคุณภาพน้ำ โดยใช้เครื่องมือและมาตรฐานการประเมินสากล ได้แก่ AQUEDUCT, WBCSD Global Water Tool, CERES Aqua Gauge และ Water Footprint Assessment รวมถึงความเสี่ยงด้านกฎหมายและความเสี่ยงด้านชื่อเสียงขององค์กร
  • วิเคราะห์และจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงเพื่อลดผลกระทบด้านน้ำของแต่ละบริษัท โดยกำหนดกรณีพิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดจากมาตรการถูกลดการใช้น้ำดิบเป็นเวลา 4 เดือน แบ่งการพิจารณาเป็น 3 กรณี คือ ผลกระทบจากการถูกให้ลดการใช้น้ำลงร้อยละ 10, 20 และ 30 ซึ่งอาจมีผลกระทบอย่างมากต่อการผลิตของโรงงานอาจถึงขั้นต้องหยุดการผลิตชั่วคราว
  • ประเมินและติดตามสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง ทั้งสถานการณ์น้ำต้นทุนและปริมาณน้ำฝน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการน้ำ บริหารจัดการความเสี่ยง และลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อการใช้น้ำของระบบนิเวศ การเกษตร การประมง สังคมชุมชน สิ่งแวดล้อมและการดำเนินธุรกิจตามปกติ
  • เข้าไปมีส่วนร่วมในคณะทำงานการบริหารจัดการน้ำของภาคตะวันออก ซึ่งประกอบด้วย หน่วยงานราชการ บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกและผู้แทนจากภาคเอกชน เพื่อติดตามสถานการณ์ ประเมินความเสี่ยง วิเคราะห์สถานการณ์น้ำในระดับลุ่มน้ำและกำหนดมาตรการต่าง ๆ รวมถึงการติดตามนโยบายด้านการบริหารจัดการน้ำของหน่วยงานภาครัฐ เอกชนและท้องถิ่น เช่น การกำหนดกลไกและโครงสร้างราคาค่าน้ำในพื้นที่ EEC การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในเส้นท่อสายหลักของภาคตะวันออก
  • ติดตามเฝ้าระวังปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำหลักที่เกี่ยวข้อง กำหนดมาตรการในการบริหารจัดการน้ำก่อนเกิดภัยแล้ง ระหว่างเกิดภัยแล้ง และมาตรการเพื่อให้มีน้ำใช้ระยะยาว ตลอดจนการพิจารณาแหล่งน้ำทดแทน เพิ่มปริมาณกักเก็บน้ำเพื่อการผลิต เช่น การสร้างบ่อน้ำสำรอง การติดตั้งหน่วยผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล ซึ่งจะเสริมสร้างความมั่นคงในสายการผลิตของกลุ่ม ปตท. ลดผลกระทบหากเกิดภาวะภัยแล้งหรือกรณีเกิดการขาดแคลนน้ำในพื้นที่ และช่วยลดประเด็นข้อกล่าวหาเรื่องภาคอุตสาหกรรมแย่งน้ำจากชุมชน
  • บูรณาการความร่วมมือและสนับสนุนเพื่อให้เกิดการพัฒนา สร้างความมั่นคงและยั่งยืนของการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยมีเป้าหมายในการควบคุมปริมาณน้ำกักเก็บสำหรับพื้นที่ปฏิบัติการของกลุ่ม ปตท. จังหวัดระยอง ซึ่งครอบคลุมอ่างเก็บน้ำดอกกราย อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล และอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ ไม่น้อยกว่า 240 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมทั้งติดตามและสนับสนุนให้โครงการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ให้มีศักยภาพในการรองรับความต้องการน้ำที่เพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ภายในปี 2579 ตามแผนงานของรัฐบาล
  • เข้าไปมีส่วนร่วมกับสถาบันน้ำและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในการผลักดันเชิงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำของประเทศทั้งการแก้ปัญหาในระยะสั้น และสร้างความยั่งยืนด้านทรัพยากรน้ำในระยะยาว
  • มุ่งมั่นดำเนินการตามหลัก 2Rs (Reserve และ Re-visualize) โดยติดตามความก้าวหน้าของโครงการพัฒนาแหล่งน้ำของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
การบริหารจัดการความเสี่ยงภายในองค์กร
  • จัดทำแผนกลยุทธ์ด้านการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ด้านการจัดการสภาพภูมิอากาศและการจัดการความเสี่ยงของกลุ่ม ปตท.
  • กำหนดเป้าหมาย ประเมิน และติดตามประสิทธิภาพการใช้น้ำขององค์กร เช่น เป้าหมายในการลดความเข้มปริมาณน้ำใช้ (Water Intensity) ในปี 2573 ร้อยละ 12.6 สำหรับภาคการผลิตและร้อยละ 10 สำหรับอาคารสำนักงาน เมื่อเทียบกับข้อมูลปีฐาน 2556 รวมถึงกำหนดเป้าหมายควบคุมและติดตามการดึงน้ำจืด (Freshwater Withdrawal) ของกลุ่ม ปตท. ไม่เกิน 70 ล้านลูกบาศก์เมตร ในปี 2567
  • ยกระดับการบริหารจัดการน้ำตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ด้วยความมุ่งมั่นดำเนินการตามหลัก 3Rs (Reduce, Reuse, Recycle) เพื่อลดการใช้น้ำ เพิ่มการใช้น้ำหมุนเวียนซ้ำ เพิ่มการนำน้ำทิ้งกลับมาใช้ใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาการใช้น้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะ เช่น การผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลและการศึกษาพัฒนานวัตกรรมเพื่อการนำน้ำที่ใช้แล้วมาบำบัดและนำกลับมาใช้ใหม่

หมายเหตุ:

•  การบริหารจัดการความเสี่ยงภายนอกองค์กร เช่น ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากแหล่งที่ตั้งของโรงงานและปัจจัยภายนอกอื่น ๆ  ความเสี่ยงด้านปริมาณและคุณภาพน้ำต้นทุน ความเสี่ยงด้านนโยบายภาครัฐและกฎหมาย ความเสี่ยงด้านสังคม
•  การบริหารจัดการความเสี่ยงภายในองค์กร เช่น การควบคุมและติดตามปริมาณน้ำใช้ การติดตามคุณภาพน้ำทิ้งจากระบบบำบัด
•  ปัจจุบัน GC และ TOP มีการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลด้วยระบบที่มีอยู่อย่างเต็มศักยภาพเพื่อนำไปใช้ในกระบวนการผลิต และอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายกำลังการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลเพื่อลดการพึ่งพาการใช้น้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะ


นอกจากนี้ ปตท. ยังได้ตระหนักถึงผลกระทบของคุณภาพน้ำทิ้งจากสถานประกอบการของตนเองต่อชุมชนรอบข้างและสิ่งแวดล้อม โดยได้ควบคุมคุณภาพน้ำทิ้งก่อนปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด ได้แก่ ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากโรงงาน พ.ศ. 2560 และประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากอาคารบางประเภทและบางขนาด พ.ศ. 2548 รวมทั้งควบคุมให้เป็นไปตามที่ระบุในมาตรการแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการ (Environmental Impact Assessment: EIA) เฉพาะของสถานประกอบการนั้น

ผลจากการคาดการณ์ความเสี่ยงการใช้น้ำของกลุ่มบริษัท ปตท. โดยใช้เครื่องมือ AQUEDUCT และ WATER RISK FILTER (WRF)SDGs 6.4 พบว่า พื้นที่ตั้งโรงงานของกลุ่มบริษัท ปตท. บริเวณภาคตะวันออกมีความเสี่ยงอยู่ในระดับปานกลางค่อนไปทางสูง (Water stress and water scarcity) และมีแนวโน้มที่จะมีความเสี่ยงสูงขึ้นในอนาคต ถ้ากรณียังดำเนินการแบบ BAU ในปี 2573 ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเป็นขนาด 1.4 เท่าของค่าเดิม

ในปี 2566 ยังคงมีการประยุกต์ใช้หลัก 3R มาบริหารจัดการน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอย่างจริงจัง ทำให้ยังคงมีการนำกลับมาใช้ใหม่ในกิจกรรมการดำเนินงานมากขึ้นและมีการนำกลับมาใช้ใหม่และใช้ซ้ำในปริมาณที่สูงเช่นกัน ซึ่งช่วยลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งในมุมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดผลกระทบจากมลพิษทางน้ำ รวมทั้งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของชุมชนและประชาชนอีกด้วย 

โครงการ/ Initiatives ที่สำคัญ

การบริหารจัดการน้ำตามหลัก 3RsSDGs 6.3, 6.4, 6.5, 6.a 

ปตท. และกลุ่ม ปตท. ได้นำหลัก 3Rs ได้แก่ การลดการใช้ (Reduce) การนำกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) การนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) มาใช้เพื่อยกระดับการบริหารจัดการน้ำที่แหล่งกำเนิดอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง โดยมีตัวอย่างของการนำเทคโนโลยีมาใช้และโครงการต่าง ๆ ที่สำคัญ ดังนี้

  • การเปลี่ยนระบบน้ำหล่อเย็นที่โรงไฟฟ้าจากระบบเปิดเป็นระบบปิด ทำให้สามารถลดการใช้น้ำ
  • โครงการนำพลังงานความร้อนที่เหลือจากหม้อไอน้ำทิ้ง (Blow-down Tank) มาใช้ เช่น การลดปริมาณการใช้น้ำหล่อเย็นที่ใช้ในการลดอุณหภูมิก่อนปล่อยสู่บ่อบำบัดน้ำเสีย รวมทั้งนำน้ำระบายทิ้ง (Blow-down Water) มารดน้ำต้นไม้
  • โครงการ Reverse Osmosis Intermediated เพื่อนำน้ำกลับมาใช้ในการหล่อเย็น เป็นการใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด
  • โครงการนำน้ำ Condensate กลับมาใช้ในกระบวนการผลิตไอน้ำ
  • โรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 5 มีการนำน้ำทิ้งที่เกิดจากกระบวนการ Dehydration มาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยนำมาใช้ทดแทนเป็นน้ำ Make up ในกระบวนการ Acid Gas Removal Unit (AGRU) ช่วยลดปริมาณน้ำ Make up ได้ 17,500 ลูกบาศก์เมตรต่อปี
  • ครงการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล (Desalination) ของ GC และ TOP สามารถลดการใช้น้ำได้ถึงร้อยละ 10-20
  • การศึกษาความเป็นไปได้ของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำด้วยระบบ Eco Industrial ซึ่งจะดึงน้ำทิ้งซึ่งผ่านการบำบัดแล้ว กลับมาเป็นน้ำที่สามารถใช้ได้ใหม่อีกครั้ง เพื่อใช้ในการบริหารจัดการน้ำให้แก่กลุ่ม ปตท.
  • การศึกษา พัฒนาและขยายผลนวัตกรรมระบบ Greywater Recycle เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการลดการใช้น้ำด้วยการนำน้ำที่ใช้แล้วมาบำบัดและนำกลับมาใช้ใหม่ โดยระบบดังกล่าวมีความสามารถนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ได้รวม 90 ลิตรต่อชั่วโมง และมีคุณภาพน้ำผ่านตามเกณฑ์มาตรฐาน US EPA Guideline
  • การศึกษา พัฒนาระบบ Rainwater Treatment ซึ่งเป็นนวัตกรรมการรวบรวมน้ำฝน และนำมาปรับปรุงคุณภาพ เพื่อนำน้ำไปใช้ใน Cooling Tower ทดแทนการใช้น้ำประปา โดยระบบมีความสามารถลดการใช้น้ำประปาได้มากถึง 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี
การขยายผลโครงการนวัตกรรมต้นแบบ Greywater RecycleSDGs 6.3, 6.4, 6.5, 6.a 
สถาบันนวัตกรรม ปตท. ได้ศึกษาและพัฒนาโครงการนวัตกรรมต้นแบบ Greywater Recycle สำหรับนำน้ำที่ผ่านการใช้แล้วจากการล้างมือ มาบำบัดและนำกลับมาใช้กับสุขภัณฑ์ โดยดำเนินโครงการนำร่องในพื้นที่ ปตท. สำนักงานใหญ่ ซึ่งนวัตกรรมดังกล่าว สามารถนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ได้ถึง 90 ลิตรต่อชั่วโมง และมีคุณภาพน้ำผ่านตามเกณฑ์มาตรฐาน US EPA Guideline โดยในปี 2566 โครงการดังกล่าวมีการนำน้ำกลับมาใช้ในอาคารสำนักงาน ช่วยลดการใช้น้ำประปาได้ 10 ลูกบาศก์เมตร



งานส่งเสริมการประเมินการใช้น้ำตลอดวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Water Footprint) ตามมาตรฐาน ISO 14046SDGs 6.5, 6.a
สถาบันน้ำเพื่อความยั่งยืน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยร่วมกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ได้ริเริ่มโครงการประเมินการใช้น้ำตลอดวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Water Footprint) เพื่อส่งเสริมมาตรฐาน ISO 14046 ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจากคณะทำงานการบริหารจัดการน้ำ กลุ่ม ปตท. เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการเทคนิคในการกำหนดมาตรฐานการประเมิน และให้การสนับสนุนทางด้านเทคนิคกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. เพื่อเข้าร่วมโครงการจนผลิตภัณฑ์ของ GC และ GPSC ได้รับการรับรองฉลาก Water Footprint จากการดำเนินงานในบริษัทนำร่องส่งผลให้เกิดการพัฒนาฐานข้อมูลการใช้น้ำที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตและพัฒนาองค์ความรู้เพื่อขยายผลต่อไปยังบริษัทอื่น ๆ ในกลุ่ม ปตท. ต่อไป

ในปี 2566 กลุ่ม ปตท. ยังคงดำเนินการตามมาตรการและแนวทางดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่า การใช้น้ำของกลุ่ม ปตท. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
โครงการ Rainwater Treatment System
สถาบันนวัตกรรม ปตท. ได้ศึกษาและพัฒนานวัตกรรมตันแบบระบบ Rainwater Treatment รวบรวมน้ำฝนและนำมาปรับปรุงคุณภาพ เพื่อนำน้ำที่ผ่านการปรับปรุงคุณภาพไปใช้ใน Cooling Tower โดยใช้เทคโนโลยี Multimedia Filter Filtration (MMF) และระบบ UV Disinfection ที่สามารถกำจัดความสกปรก สี กลิ่นและเชื้อโรคต่าง ๆ ให้มีคุณภาพน้ำเหมาะสมกับการใช้งานสำหรับ Cooling Tower

ระบบดังกล่าวถูกออกแบบให้มีความสามารถในการลดการใช้น้ำประปาของอาคารสำนักงานได้มากถึง 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี รวมถึงมีการประยุกต์ใช้ระบบ IoT ทำให้สามารถควบคุมและติดตามการทำงานผ่าน Mobile application ปัจจุบันระบบดังกล่าวมีการติดตั้งใช้งานจริงในพื้นที่ ปตท. สำนักงานใหญ่ โดยเริ่มใช้งานตั้งแต่ช่วง มิ.ย. 2566 จากการติดตามผลการดำเนินงานพบว่าสามารถนำน้ำที่ผ่านการใช้งานแล้วกลับมาใช้ใหม่ได้ทั้งหมด 136 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 15.5 ลิตรต่อชั่วโมง




การติดตั้งเทคโนโลยี Zero Liquid Discharge (ZLD) โรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 7
ปตท. มุ่งมั่นควบคุม ป้องกัน และลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมตั้งแต่การคัดเลือกเทคโนโลยีและการออกแบบวิศวกรรมโดยโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 7 มีแผนติดตั้งเทคโนโลยี Zero Liquid Discharge (ZLD) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการนำน้ำที่ผ่านการบำบัดน้ำเสียแล้วกลับมาใช้ใหม่และไม่มีการปล่อยนำออกจากระบบออกสู้ภายนอกส่งผลให้การใช้นำลดลงเมื่อเทียบกับโรงแยกก๊าซ หน่วยที่ 1


การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเชิงยุทธศาสตร์ในพื้นที่ภาคตะวันออกGRI 303-1, GRI 303-2 

การจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงและโอกาสในพื้นที่ยุทธศาสตร์ของกลุ่ม ปตท. ได้แก่ ภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดระยองและชลบุรี ซึ่งเคยเกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำเมื่อปี 2548 และปี 2563 ปตท. จึงได้จัดตั้งโครงการบริหารจัดการน้ำของกลุ่ม ปตท. (PTT Group Central Water Management) ขึ้นภายใต้กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย โดยมีการดำเนินการร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการน้ำและระบบสาธารณูปการของบริษัทในกลุ่ม ปตท. รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน ตั้งแต่การวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงและโอกาส การจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงในกรณีเกิดภัยแล้งทั้งในระยะสั้นและระยะยาว  การติดตาม ประเมิน คาดการณ์และรายงานสถานการณ์น้ำในพื้นที่ต่าง ๆ รวมถึงดำเนินการจัดทำแผนกลยุทธ์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำด้วยหลัก 3Rs (Reduce, Reuse, Recycle) และแผนการบริหารจัดการน้ำทิ้ง อย่างมีประสิทธิภาพ และผลักดันให้เกิดความร่วมมือและแบ่งปันแนวทางการบริหารจัดการน้ำที่เป็นเลิศ  อีกทั้งมีการติดตามสถานการณ์แหล่งน้ำและการประสานงานกับผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการดำเนินงานด้านกลยุทธ์และธุรกิจด้านน้ำ ซึ่งความก้าวหน้าและผลการดำเนินงานจะถูกติดตามและรายงานให้แก่ผู้บริหารระดับสูง รวมทั้งคณะกรรมการจัดการ ปตท. อย่างต่อเนื่อง

การศึกษาปรับปรุงสมรรถนะด้านอุปสงค์น้ำของโรงงานในกลุ่ม ปตท.
ปตท. ร่วมกับบริษัทในกลุ่มดำเนินการศึกษาปรับปรุงสมรรถนะด้านอุปสงค์น้ำ โดยมีการรวบรวมข้อมูลของโรงงานนำร่อง (Pilot Plant) ที่เข้าร่วมการศึกษา เพื่อประเมินประสิทธิภาพการใช้น้ำ ตลอดจนวิเคราะห์หาแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ำ และศึกษาความเป็นไปได้และความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำที่แต่ละโรงงานนำร่องมีความสนใจและมีความเหมาะสมด้านเทคนิค โดยบางโครงการมีผลประโยชน์อื่นนอกเหนือจากการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำด้วย เช่น ลดการใช้พลังงาน ลดการสูญเสีย

กิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้เทคโนโลยีและมาตรการปรับปรุงกระบวนการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การใช้น้ำสำหรับกลุ่ม ปตท.
ปตท. จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้และส่งเสริมแนวทางบริหารจัดการน้ำให้กับบริษัทในกลุ่ม ปตท. หรือ CoP (Community of Practice): Water Management อย่างต่อเนื่อง โดยคัดเลือกประเด็นที่บริษัทในกลุ่มให้ความสนใจ และในปี 2566 มีการจัดกิจกรรม 2 ครั้ง ได้แก่
  • กิจกรรมแบ่งปันความรู้และเยี่ยมชมกระบวนการเตรียมน้ำ (Water Treatment Plant) ที่ใช้เทคโนโลยี Electro De-Ionization (EDI) ซึ่งเป็นระบบทดแทนกระบวนการแบบเดิมที่โรงงานส่วนมากใช้งานอยู่ โดย EDI สามารถลดข้อจำกัดในการใช้งาน เช่น ลดการใช้สารเคมี ลดปริมาณน้ำเสีย สามารถผลิตน้ำได้อย่างต่อเนื่องและลดขั้นตอนการบำรุงรักษาระบบ
  • กิจกรรมเยี่ยมชมความพร้อมการส่งจ่ายน้ำของผู้ให้บริการน้ำภาคอุตสาหกรรมรายหลัก ในช่วงเปลี่ยนถ่ายสัมปทานท่อน้ำสายหลักภาคตะวันออก เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับบริษัทในกลุ่ม ปตท. ซึ่งเป็นผู้ใช้น้ำที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนถ่ายสัมปทานในช่วงปลายปี 2566
โครงการ Water Excellent Contest 2023
ปตท. จัดให้มีการประกวดโครงการ Water Excellent Contest 2023 สำหรับกลุ่ม ปตท. เพื่อมุ่งเน้นส่งเสริมการลดการใช้น้ำ การใช้น้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสร้างความตระหนักในการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า โดยเฉพาะในภาคการผลิตของกลุ่ม ปตท. อีกทั้งยังเป็นการแบ่งปันองค์ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและสอดคล้องตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยในปี 2566 มีโครงการที่เข้าร่วมประกวดทั้งหมด 5 โครงการ จากหน่วยงานและบริษัทในกลุ่ม ปตท. ซึ่งสามารถลดการใช้น้ำจืด (Fresh water) ได้รวม 2.85 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี โดยโครงการดังกล่าว ได้แก่
  • The Reduction in Raw Water Usage through The Recovery of Seal/ Condensate Water and The Increase in CCW Cycle – GC
  • Way to Optimize Water Consumption During “Water Crisis 2020” – GC
  • Reduce Make Up Water of Cooling Tower (Reduce Ca-Hardness in Potable Water) – IRPC
  • Proactive Water Conservation Campaign – TOP
  • Install Line Cooling Return for Water Spray Main Blowdown Tank – GPSC
การดำเนินธุรกิจด้านน้ำ (Water Business)
โครงการบริหารจัดการน้ำของกลุ่ม ปตท. กำหนดกลยุทธ์เข้าสู่ธุรกิจน้ำโดยมีเป้าหมายในการเพิ่มขีดความสามารถให้กับกลุ่ม ปตท. ในการบริหารจัดการน้ำทั้งในด้าน Water Supply และ Water Demand  ผ่านการดำเนินงานร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านน้ำของกลุ่ม ปตท. ได้อย่างยั่งยืน ตลอดจนสามารถสร้างรายได้ให้กับ ปตท. อีกด้วย

การร่วมมือกับพันธมิตรและเครือข่ายต่าง ๆ

สถาบันน้ำและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ผู้บริหารของกลุ่ม ปตท. ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารและร่วมดำเนินงานกับสถาบันน้ำและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 ได้มีการติดตามประเด็นปัญหาการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกที่มีแนวโน้มจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม ปตท. ทั้งปรากฎการณ์เอลนีโญที่ส่งผลให้ปริมาณฝนเฉลี่ยน้อยกว่าปกติในบางพื้นที่และอาจเกิดการขาดแคลนน้ำใน ปี 2566-2567 การส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่ EEC ของภาครัฐในขณะที่แหล่งน้ำในภาคตะวันออกมีอยู่จำกัด  ปัญหาเครือข่ายท่อส่งน้ำภาคตะวันออกที่ปัจจุบันมีผู้บริหารเส้นท่อโครงข่ายน้ำหลายราย (Multi-Operator) ทำให้ขาดความเป็นเอกภาพในการบริหารจัดการน้ำในภาพรวม รวมถึง (ร่าง) กฎหมายที่จะกำหนดการเรียกเก็บค่าใช้น้ำตามข้อกำหนดใน พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ที่กำลังเตรียมประกาศบังคับใช้ ปตท. จึงได้ดำเนินการร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในการติดตาม ผลักดันและเป็นเสียงสะท้อนประเด็นปัญหา และข้อกังวลของภาคอุตสาหกรรมไปยังหน่วยงานภาครัฐ โดยตลอดปี 2566 ได้เข้าพบและหารือร่วมกับหน่วยงานราชการต่าง ๆ รวมถึงได้จัดทำข้อเสนอเชิงปฏิบัติการด้านการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนเพื่อพัฒนาภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย เพื่อเสนอต่อรัฐบาล โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้

ระยะเร่งด่วน

  • จัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ด้านบริหารจัดการน้ำโดยมีกรรมการจากภาครัฐและภาคเอกชน
  • จัดตั้งคณะกรรมการกำกับการบริหารจัดการน้ำอุตสาหกรรมและจัดการโครงข่ายท่อส่งน้ำในพื้นที่ EEC (Regulator)
  • รัฐจัดสรรงบประมาณเพื่อให้ระบบการสูบผันน้ำระหว่างอ่างเก็บน้ำให้พร้อมใช้งาน แก้ปัญหาความไม่ชัดเจนด้านการจัดสรรน้ำ และป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำทั้งด้านปริมาณและคุณภาพน้ำในช่วงการส่งมอบเส้นท่อของกรมธนารักษ์ (Transition)
ระยะกลาง - ระยะยาว
  • พัฒนาแหล่งน้ำและบริหารจัดการโครงข่ายน้ำภาคตะวันออก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน เช่น อ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด จ.จันทบุรี และการพัฒนาระบบ RO Recycle น้ำเสียชุมชนผ่านกระบวนการบำบัด แล้วนำกลับมาใช้ในพื้นที่อุตสาหกรรมใกล้เคียง โดยให้การใช้น้ำเสียเมืองพัทยาเป็น Sandbox 
  • ปรับปรุงและทบทวน ร่างกฎกระทรวงภายใต้ พ.ร.บ. ทรัพยากรน้ำ ปรับปรุงข้อกำหนดในการเรียกเก็บค่าใช้น้ำ โดยผลการศึกษาโครงสร้างอัตราค่าน้ำตาม พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ภายใต้การกำกับดูแลของกรมทรัพยากรน้ำ ให้พิจารณายกเว้นการเก็บค่าใช้น้ำสำหรับกิจกรรมที่สามารถส่งเสริมความมั่นคงด้านน้ำในพื้นที่และลดผลกระทบต่อชุมชน เช่น การใช้น้ำทะเลทดแทนแหล่งน้ำผิวดิน การกักเก็บน้ำหลากเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำสำรองในแหล่งกักเก็บของผู้ใช้น้ำและร่วมบรรเทาสาธารณภัยให้ชุมชน การจัดตั้งกองทุนน้ำภาคอุตสาหกรรมเพื่อส่งเสริมให้มีการใช้น้ำที่มีประสิทธิภาพ

ผลการดำเนินงานที่สำคัญ

สรุปความก้าวหน้าในการดำเนินงาน ของ ปตท.  

ร้อยละของปริมาณน้ำที่นำกลับมาใช้ใหม่และนำกลับมาใช้ซ้ำ ต่อปริมาณดึงน้ำ (น้ำจืด) ทั้งหมดของ ปตท.

ปี2563256425652566
ผลการดำเนินงาน 7.62 6.32 8.11 6.89

ปริมาณน้ำกักเก็บสำหรับพื้นที่ปฏิบัติการของ ปตท. จังหวัดระยอง (ล้านลูกบาศก์เมตร)

หมายเหตุ:

ขอบเขตข้อมูลครอบคลุมอ่างเก็บน้ำ 3 แห่งหลักในพื้นที่จังหวัดระยอง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำดอกกราย อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล และอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่

ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและค่าเสียโอกาส (เช่น รายได้ที่เสียไป) จากเหตุละเมิดที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ (บาท)