ความยั่งยืน

การบริหารจัดการสิทธิมนุษยชน

ความยั่งยืน

การบริหารจัดการสิทธิมนุษยชน

การสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
   





ผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากการดำเนินงานของ ปตท.

ปตท. พัฒนาและดำเนินการระบบการบริหารจัดการด้านสิทธิมนุษยชนควบคู่ไปกับการบริหารจัดการความยั่งยืนมาตั้งแต่ปี 2559 และได้มีการตรวจสอบและประเมินความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน  (Human Rights Due Diligence) ครอบคลุมการดำเนินธุรกิจของ ปตท. และกลุ่ม ปตท. ภายใต้แนวทางการบริหารจัดการแบบกลุ่ม ปตท. (PTT Group Way of Conduct) ซึ่งมีบริษัทในกลุ่มจำนวน 17 บริษัท ใน 21 ประเทศ คิดเป็นพื้นที่ทั้งหมด 50 พื้นที่ พบว่าประเด็นความเสี่ยงที่สำคัญ คือ ความมั่นคงปลอดภัย และอาชีวอนามัยของพนักงานและผู้รับเหมา สิทธิแรงงาน สภาพการทำงานของผู้ค้า มาตรฐานการเป็นอยู่ของชุมชน และสิทธิของชนพื้นเมือง  ซึ่งผลการประเมินดังกล่าวได้ถูกนำมาบูรณาการในการประเมินประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนของ ปตท. ประจำปี 2565 ด้วย โดยครอบคลุมอยู่ในทุกมิติของผลกระทบด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและ ผลกระทบต่อบุคคล ชุมชนสังคม ซึ่งสอดคล้องตามมาตรฐาน Global Reporting Initiative (GRI) Sustainability Reporting Standard ปี 2021 : GRI 3 : Material Topics 2021

แนวทางการจัดการ

นโยบายด้านสิทธิมนุษยชนของ ปตท. 

ปตท. เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนต่อความยั่งยืนขององค์กร จึงได้วางรากฐานให้การเคารพสิทธิมนุษยชนเป็นแนวปฏิบัติขั้นพื้นฐานของ ปตท. โดยยึดถือปฏิบัติตามหลักการด้านสิทธิมนุษยชนที่ระบุไว้ตามกฎหมายและเป็นมาตรฐานในระดับสากล เช่น ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (United Nations Universal Declaration of Human Rights: UNUDHR) หลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Guiding Principles on Business and Human Rights: UNGP) และปฏิญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศเรื่องหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization: ILO) เป็นต้น  ปตท. แสดงเจตนารมณ์ในการดำเนินธุรกิจโดยเคารพซึ่งหลักสิทธิมนุษยชนไว้อย่างชัดเจนใน คำแถลงด้านสิทธิมนุษยชน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ลงนามโดยประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการป้องกัน ควบคุมและลดความเสี่ยงที่จะเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการดำเนินงานต่อกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสำคัญ ได้แก่ พนักงาน ชุมชนท้องถิ่น และพันธมิตรทางธุรกิจและพนักงานของพันธมิตรทางธุรกิจ โดยเป็นไปตามกฎหมาย มาตรฐาน พันธสัญญาและหลักปฏิบัติในระดับสากล นอกจากนี้ ยังแสดงความมุ่งมั่นไว้ใน นโยบายการกำกับการดูแลปฏิบัติงานให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) อีกด้วย

โครงสร้างกำกับดูแล บทบาทและความรับผิดชอบของคณะกรรมการและฝ่ายจัดการในการบริหารจัดการด้านสิทธิมนุษยชน

ในการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งถูกบูรณาการไปในกระบวนการบริหารจัดการความยั่งยืนขององค์กรนั้น คณะกรรมการ ปตท. ได้มอบหมายให้คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและความยั่งยืน (Corporate Governance and Sustainability Committee: CGSC) ทำหน้าที่กำกับดูแลนโยบาย และการบริหารจัดการความยั่งยืนของกลุ่ม ปตท. ครอบคลุมการบริหารจัดการด้านสิทธิมนุษยชนตลอดสายโซ่อุปทานของ ปตท. ซึ่งประกอบไปด้วยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ในด้านการบริหารจัดการผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนในด้านต่าง ๆ ได้แก่

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ประธานคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและความยั่งยืน คุณวุฒิการศึกษา/ประวัติการอบรม
  • ปริญญาตรี รัฐศาสตรบัณฑิต(การปกครอง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • ปริญญาโท รัฐศาสตรมหาบัณฑิต (การปกครอง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • ปริญญาโท วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (การบริหารทรัพยากรป่าไม้และสิ่งแวดล้อม) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ประสบการณ์การทำงาน
  • 2560-2562 : อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
  • ปัจจุบัน : ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
รศ.ดร.ณรงค์เดช สรุโฆษิต กรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและความยั่งยืน กรรมการอิสระ
และกรรมการบริหารความเสี่ยงองค์กร
คุณวุฒิการศึกษา/ประวัติการอบรม
  • นิติศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • LL.M. , University of Cambridge , UK.
  • Ph.D. (Doctor of Philosophy (Law)) , University of Edinburgh, UK.
ประสบการณ์การทำงาน
  • ปัจจุบัน: อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ประธานหมวดวิชากฎหมายมหาชน)
นายผยง ศรีวณิช กรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและความยั่งยืน กรรมการอิสระ​ และกรรมการสรรหา คุณวุฒิการศึกษา/ประวัติการอบรม
  • ปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ University of Arizona, Tucson, Arizona, USA
  • ปริญญาโทบริหารธุรกิจ University of Pittsburgh, Pennsylvania, USA
ประสบการณ์การทำงาน
  • ปัจจุบัน : กรรมการผู้จัดการใหญ่ กรรมการกำกับดูแลความเสี่ยงการลงทุน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)

โดยมีการวัดผลการปฏิบัติงาน (Performance Incentive) ของคณะกรรมการ โดยครอบคลุมประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลอย่างครบถ้วนรวมถึง ด้านสิทธิมนุษยชน สอดคล้องกับระบบการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ (SE-AM) โดย ปตท. ได้กำหนดนโยบายค่าตอบแทนกรรมการที่เป็นธรรมและสมเหตุสมผล (ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถอ่านได้ในรายงาน 56-1 One Report ส่วนที่ 2 การกำกับดูแลกิจการ หัวข้อ การจ่ายค่าตอบแทนคณะกรรมการ ปตท. และเว็บไซด์ หัวข้อ การกำกับดูแลกิจการที่ดี)

สำหรับระดับจัดการ มีคณะกรรมการจัดการการกำกับดูแลการบริหารความเสี่ยง และการกำกับการปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบองค์กร (Governance Risk and Compliance Management Committee: GRCMC) และสายงาน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารความยั่งยืน ภายใต้รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลยุทธ์องค์กรและความยั่งยืน โดยมี ฝ่ายกลยุทธ์ความยั่งยืน ทำหน้าที่พัฒนากระบวนการและกำกับดูแลการบริหารจัดการด้านความยั่งยืนและสิทธิมนุษยชน ของ ปตท.และกลุ่ม ปตท. ในภาพรวม ซึ่งมีการถ่ายทอดการนำไปปฏิบัติไปยังหน่วยงานผู้รับผิดชอบในระดับ Corporate แต่ละ Function ที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลทั่วทั้งองค์กร เช่น หน่วยงานทรัพยากรบุคคล หน่วยงานความปลอดภัย ความมั่นคง อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม หน่วยงานกิจการเพื่อสังคม หน่วยงานจัดหาพัสดุ และหน่วยงานกำกับการปฏิบัติตามกฎหมายฯ เป็นต้น 



คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและความยั่งยืนมีการประชุมรายไตรมาส เพื่อติดตามความคืบหน้าและให้ความเห็นต่อนโยบาย เป้าหมายระยะยาว/ประจำปี ผลการประเมินประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน (Material Topics) และความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชน แผนการดำเนินงานและแผนบริหารจัดการความเสี่ยง โดยที่ผ่านมาได้ให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงระบบ/กระบวนการบริหารจัดการด้านสิทธิมนุษยชนเช่น ให้มุ่งเน้นการบริหารจัดการประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนที่อาจเกิดขึ้นในการดำเนินงานของผู้รับเหมา ผู้ค้า ซึ่งหน่วยงานจัดหาพัสดุได้มีการปรับปรุงเกณฑ์การประเมินผู้ค้าอย่างยั่งยืนและได้นำไปใช้ในการตรวจประเมินผู้ค้าที่มีความเสี่ยงสูงอย่างต่อเนื่อง 

นอกจากนี้คณะกรรมการ และผู้บริหาร ปตท. ได้แสดงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนของ ปตท. ทั้งภายในองค์กรและร่วมกับเครือข่ายภายนอก 

กระบวนการบริหารจัดการด้านสิทธิมนุษยชน ปตท.

ระบบบริหารจัดการด้านสิทธิมนุษยชนกลุ่ม ปตท. (PTT Group Human Rights Management System) ได้ถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 2559 และจัดทำเป็น แนวทางการบริหารจัดการด้านสิทธิมนุษยชน กลุ่ม ปตท. (PTT Group Human Rights Management Guideline) เป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติในการบริหารจัดการประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของ ปตท. และกลุ่ม ปตท. โดยครอบคลุมกิจกรรมทั้งหมดที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน ตลอดวงจรชีวิตของการดำเนินงาน เช่น การควบรวม การซื้อกิจการ การก่อสร้าง จนถึงการยกเลิกกิจการ และตลอดห่วงโซ่คุณค่า


ปตท. ผลักดันให้บริษัทในกลุ่ม ปตท. ประยุกต์ใช้และปฏิบัติตามแนวทางการบริหารจัดการด้านสิทธิมนุษยชน กลุ่ม ปตท. ตามความเหมาะสม ผ่านแนวทางการบริหารจัดการแบบกลุ่ม ปตท. (PTT Group Way of Conduct)  โดยที่บริษัทในกลุ่มจำเป็นต้องเปิดเผยการประเมินความเสี่ยง รวมถึงแผนการบรรเทาความเสี่ยง ตามโครงสร้างกำกับดูแลด้านความยั่งยืนทุกไตรมาส และรายงานความก้าวหน้ากลับมายัง ปตท. เพื่อจัดทำรายงานเสนอคณะกรรมการ


ปัจจุบัน ปตท. ได้บูรณาการระบบบริหารจัดการด้านสิทธิมนุษยชนเข้าไปในกระบวนการบริหารจัดการความยั่งยืนขององค์กรอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การระบุประเด็น/ ความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนจากการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence) เป็นหนึ่งในมุมมองของผลกระทบที่ต้องพิจารณาในกระบวนการประเมินประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนขององค์กร (Material topics) ด้วย ผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนในแต่ละประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนจะถูกขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมผ่าน แผนแม่บทการบริหารจัดการด้านความยั่งยืนฯ ปตท. ประจำปี 2564-2568 โดยมีการกำหนดเป้าหมายในแต่ละปีและเป้าหมายระยะยาว ประจำปี  2573 ควบคุมการละเมิดด้านสิทธิมนุษยชนที่ได้รับการวินิจฉัยว่า ปตท. เป็นฝ่ายผิดต้อง เท่ากับ ศูนย์ (Zero Human Rights Violation) รวมทั้งกำหนดกลยุทธ์ แผนงาน และถ่ายทอดเป็นตัวชี้วัดผลการดำเนินงานตามระบบประเมินผลรัฐวิสาหกิจ ตัวชี้วัดระดับองค์กร / ระดับสายงานของหน่วยงานรับผิดชอบ ซึ่งมีการรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานตามเป้าหมายและแผนงานต่อคณะกรรมการตามโครงสร้างกำกับดูแลด้านความยั่งยืน ทุกไตรมาส



ตัวชี้วัดผลการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนของผู้บริหาร

ประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน
ที่อาจส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชน

ตัวชี้วัด

ขอบข่ายการวัดผล

  • การบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 
    ส่งผลกระทบต่อคุณภาพและการดำรงชีวิตของประชาชน
  • ตัวชี้วัดผลการดำเนินงานตามระบบประเมินผลรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Assessment Model : SE-AM) : ความเข้มของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Scope 1, 2 และ 3)
  • ตัวชี้วัดระดับองค์กร/ สายงาน (Corporate KPI/ Functional KPI) : ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Scope 1 และ 2

เป็นส่วนหนึ่งของตัวชี้วัดผลการดำเนินงานของประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. ซึ่งทำหน้าที่เป็นหนึ่งในคณะกรรมการ ปตท. ด้วย

วัดผลการดำเนินงานผู้บริหารระดับประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และสายงานที่เกี่ยวข้อง

  • อาชีวอนามัยและความปลอดภัยส่งผลกระทบต่อสิทธิแรงงานขั้นพื้นฐานของพนักงานและผู้รับเหมาในการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
  • ตัวชี้วัดในแผนแม่บทฯ และตัวชี้วัดระดับองค์กร/ สายงาน (Corporate KPI/ Functional KPI) : ประสิทธิภาพของการบริหารจัดการความปลอดภัย (Safety Management Effectiveness) ของพนักงานและผู้รับเหมา
วัดผลการดำเนินงานผู้บริหารทุกคน ตั้งแต่ระดับประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ลงมา
  • ประสิทธิภาพของการบริหารจัดการสิทธิมนุษยชน
  • ตัวชี้วัดในแผนแม่บทฯ และถ่ายทอดเป็นตัวชี้วัดระดับสายงาน (Functional KPI) : จำนวนการละเมิดด้านสิทธิมนุษยชนที่ได้รับการวินิจฉัยว่า ปตท. เป็นฝ่ายผิด
วัดผลการดำเนินงานผู้บริหารในสายงานที่เกี่ยวข้อง


การตรวจสอบการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนGRI2-23

การตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence)GRI 407-1, GRI 408-1, GRI 409-1, GRI 412-1, GRI 413-2, GRI 414-1, GRI 414-2

ปตท. ผนวกการบ่งชี้และประเมินความเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน เข้าไปในกระบวนการประเมินความเสี่ยงหลากหลายรูปแบบในขั้นตอนสำคัญของการดำเนินธุรกิจ เช่น การทำ Due Diligence ในขั้นตอนการควบรวมหรือซื้อกิจการ  การวิเคราะห์และประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) ในการพัฒนาโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ตามกฎหมาย ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนเข้าร่วมการประเมินประสิทธิภาพของมาตรการบรรเทาผลกระทบด้วยการบ่งชี้และประเมินประเด็นสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการประเมินอันตรายและความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ตามมาตรฐาน ISO ในพื้นที่ปฏิบัติการทุกพื้นที่  อีกทั้งในกระบวนการประเมินความเสี่ยงและการควบคุมภายใน (internal control) ของทุกหน่วยงานในองค์กร ซึ่งความเสี่ยงทั้งหมดจะถูกบริหารจัดการโดยกำหนดเป็นมาตรการ ตลอดจนแผนบริหารจัดการรองรับตามความเหมาะสม และมีการรายงานความก้าวหน้าต่อผู้บริหารในแต่ละสายงานที่ดูแลเป็นระยะ

นอกจากนี้ เพื่อให้ครอบคลุมประเด็นความเสี่ยงและผลกระทบในทุก ๆ ขั้นตอนการดำเนินงานขององค์กรและสอดคล้องตามแนวปฏิบัติสากล  ปตท. ได้ประยุกต์ใช้แนวทางการประเมินความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชน ของ UNGPs มาประเมินความเสี่ยงที่อาจยังหลงเหลือจากการประเมินและบริหารตามกระบวนการข้างต้น ในภาพรวมของกลุ่ม ปตท. ให้มีครบถ้วนและรอบด้านในทุกมิติตลอดห่วงโซ่คุณค่ามากที่สุด โดยจะดำเนินการทุก ๆ 2 ปี หรือเมื่อมีเหตุการณ์ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยง/ ผลกระทบ โดยครอบคลุมการระบุประเด็น/ ผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ได้แก่ พนักงาน ผู้รับเหมา ชุมชน กลุ่มเปราะบาง ซึ่งรวมถึง ผู้หญิง ชนพื้นเมือง แรงงานอพยพ เพศทางเลือก ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ และเด็ก และความเป็นไปได้ที่จะเกิดผลกระทบจากกิจกรรมการดำเนินงาน พื้นที่ปฏิบัติการ ผลิตภัณฑ์ และบริการของบริษัท ในทุกประเทศที่ไปดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติงานที่อยู่ในพื้นที่อ่อนไหว อยู่ในภัยสงครามหรือความขัดแย้ง (conflicted-area)  โดยมีขั้นตอนการดำเนินงาน ดังนี้

1. การกำหนดขอบเขตธุรกิจของกลุ่มบริษัท

2. การกำหนดบริบทด้านสิทธิมนุษยชน

3. การระบุ/ประเมินประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนในระดับพื้นที่ปฏิบัติการ และสิทธิที่เกี่ยวข้องในระดับบุคคล

4. การประเมินความเสี่ยง

5. การระบุการควบคุมและบรรเทาความเสี่ยง

6. การประเมินค่าความเสี่ยงคงเหลือ

7. การติดตามและทบทวน


การประเมินคะแนนความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนดำเนินการโดยพิจารณาจาก 2 ปัจจัย ได้แก่ ผลกระทบ และความเป็นไปได้

ระดับการวัดความเสี่ยง: ผลกระทบ

ผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ สังคม และเศรษฐกิจ รวมถึง ขนาด ขอบข่าย และข้อจำกัดของความสามารถในการแก้ไขผลกระทบด้านลบที่เกิดขึ้นให้กลับไปมีสภาพดังเดิม

ระดับของผลกระทบ​ลักษณะของผ​ลกระทบ​
  Critical
  • ผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนส่งผลกระทบในวงกว้างหรือส่งผลต่อกลุ่มประชากร ที่เกินกว่าขอบเขตของพื้นที่ปฏิบัติการ
  • บริษัทไม่สามารถควบคุมหรือบรรเทาผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนเพื่อฟื้นฟูให้ผู้ที่ถูกละเมิด สิทธิมนุษยชนได้สิทธินั้นกลับคืนมาได้
  • ผลกระทบ/ เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับด้านสิทธิมนุษยชนมีความจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานภายนอกที่เป็นอิสระ และมีความน่าเชื่อถือ เพื่อไกล่เกลี่ยปัญหาร่วมกับบริษัทอิสระ
  Major
  • บริษัทมีความจงใจในการให้ความช่วยเหลือ หรือ ให้การสนับสนุนการดำเนินงานที่ก่อให้เกิดการละเมิดด้านสิทธิมนุษยชน (Legal Complicity)
  • ผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนที่เป็นผลจากการดำเนินงานของบริษัทหรือห่วงโซ่คุณค่าของบริษัท ส่งผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ปฏิบัติการและในพื้นที่ปฏิบัติการ
  • บริษัทมีความขัดแย้งด้านสิทธิมนุษยชนกับกลุ่มเสี่ยง (Vulnerable Group)
  Moderate
  • บริษัทได้รับผลประโยชน์จากการดำเนินงานที่ก่อให้เกิดการละเมิดด้านสิทธิมนุษยชนโดยหน่วยงานอื่น (Non-legal Complicity)
  • บริษัทไม่สามารถตอบสนองต่อข้อกังวลที่เกี่ยวข้องกับด้านสิทธิมนุษยชนจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายในหรือภายนอกได้
  Minor
  • ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากข้อกังวลด้านสิทธิมนุษยชนที่ได้รับจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากภายในหรือภายนอก ได้รับการป้องกันแก้ไข โดยกลไกการจัดการข้อร้องเรียนที่มีประสิทธิภาพของบริษัท

ระดับการวัดความเสี่ยง: ความเป็นไปได้

ระดับของผลกระทบ​ลักษณะของผ​ลกระทบ​
   Likely (>25%)
  • เหตุการณ์เกิดขึ้นภายในพื้นที่ปฏิบัติการหลายครั้งต่อปี (>25%)
   Possible (10-25%)
  • เหตุการณ์เกิดขึ้นในพื้นที่ปฏิบัติเป็นครั้งคราว (10-25%)
   Unlikely (1-10%)
  • เหตุการณ์เกิดขึ้นในพื้นที่ปฏิบัติการน้อยมาก แต่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น (1-10%)
   Rare (<1%)
  • เหตุการณ์เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมที่เป็นประเภทเดียวกับพื้นที่ปฏิบัติการ แต่เหตุการณ์ดังกล่าวมีความเป็นไปได้น้อยที่จะเกิดขึ้นกับพื้นที่ปฏิบัติการ (<1%)
ปตท. ดำเนินการประเมินความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้านตั้งแต่ปี 2558 ครอบคลุมทุกหน่วยธุรกิจหลักที่ ปตท. ดำเนินการเอง ประกอบด้วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ และธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ในปี 2562 มีการขยายขอบเขตการประเมินความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนไปยังธุรกิจที่ลงทุนผ่านบริษัทในกลุ่ม ปตท. เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการแบบกลุ่ม ปตท. (PTT Group Way of Conduct) ประกอบด้วย ปตท. และบริษัทในกลุ่ม ปตท. จำนวน 16 บริษัท รวมเป็น 17 บริษัท ครอบคลุม 50 พื้นที่ 21 ประเทศ ประกอบด้วยธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีก ธุรกิจถ่านหิน ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ธุรกิจของกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน คิดเป็นร้อยละ 100 ของพื้นที่ปฏิบัติการที่ ปตท. ดำเนินการเองทั้งหมด และร้อยละ 100 ของพื้นที่ของบริษัทในกลุ่ม ปตท. ที่ ปตท.มีอำนาจในการบริหารจัดการ


ประเด็นความเสี่ยงด้าน
สิทธิมนุษยชนที่อาจเกิดขึ้นได้

ร้อยละของจำนวนพื้นที่ทั้งหมดที่ผ่านการประเมินใน 3 ปีที่ผ่านมา
(2561-2563)

ร้อยละของพื้นที่ที่อาจมีประเด็นความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนในระดับสูง

ร้อยละของความเสี่ยงที่มีแผนเเละกระบวนการจัดการ 

แผนการบรรเทาความเสี่ยง
สำหรับพื้นที่ที่อาจมีประเด็นความเสี่ยง

พื้นที่ปฏิบัติการที่ ปตท. บริหารจัดการเอง 
  • สิทธิแรงงาน
  • สิทธิชุมชน
  • สายโซ่อุปทาน
  • สิ่งแวดล้อม
  • ความมั่นคงปลอดภัย
  • สิทธิลูกค้าและผู้บริโภค
100 0 100
  • ดำเนินงานตามระบบบริหารจัดการด้านสิทธิมนุษยชนกลุ่ม ปตท.
  • ปรับปรุงแนวทางการปฏิบัติอย่างยั่งยืนของผู้ค้าด้านสิทธิมนุษยชน
  • จัดอบรมและสร้างความตระหนักรู้ด้านสิทธิมนุษยชนกับการดำเนินธุรกิจ
  • การทบทวนนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนและการกำหนดแนวทางป้องกันเรื่องการเลือกปฏิบัติในสถานที่ทำงาน
ผู้รับเหมาและผู้ค้าในระดับที่ 1
  • ความปลอดภัย และอาชีวอนามัยในการทำงาน
  • การจ้างงานและสภาพแวดล้อมในการทำงาน
  • สิทธิชุมชน
  • สิ่งแวดล้อม
100 0 100
  • การจัดทำประกันอาคารและทรัพย์สิน
  • การจัดทำแผนพัฒนาศักยภาพพนักงาน
  • การจัดทำข้อมูลสถิติความปลอดภัยในการทำงาน
  • การทำแผนตรวจวัดแอลกอฮอล์และตรวจหาสารเสพติด
  • การจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับการปฐมพยาบาล
ธุรกิจที่ ปตท. ลงทุนผ่านบริษัทในกลุ่ม ปตท.
  • สิทธิชุมชน
  • สายโซ่อุปทาน
  • สิ่งแวดล้อม
100 0 0


ผลการประเมินความเสี่ยง พบว่ามีพื้นที่ปฏิบัติการที่มีความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนในระดับปานกลาง-สูง จำนวน 11 พื้นที่ใน 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และแอลจีเรีย ซึ่งทุกพื้นที่ได้จัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อบริหารจัดการ/ บรรเทาความเสี่ยงครบถ้วนทั้ง 11 พื้นที่ และเมื่อมีการบริหารจัดการตามแนวทางการบริหารจัดการของบริษัท อาทิ ระบบการบริหารจัดการด้านความมั่นคง ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม มาตรการติดตามและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม แนวทางการบริหารประเด็นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พบว่าไม่มีพื้นที่ปฏิบัติการใดมีความเสี่ยงที่เหลือ (Residual risk) อยู่ในระดับสูง ซึ่งจะมีการรายงานความก้าวหน้าและผลการดำเนินงานแก่ผู้บริหารตามสายงานและโครงสร้างกำกับดูแลด้านความยั่งยืน รวมถึงคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง (เช่น คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและความยั่งยืน) ทุกไตรมาส หรือตามความเหมาะสม


ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม ปตท.

สิทธิแรงงาน
(Labor Rights)

สิทธิชุมชน
(Community)

ความมั่นคง ปลอดภัย (Security)

สิ่งแวดล้อม
(Environment)

สิทธิลูกค้าและผู้บริโภค  (Customer and Consumer)

การกำกับดูแลองค์กร (Corporate governance)

  • สภาพการทำงาน
  • เสรีภาพในการสมาคมและการเจรจาต่อรอง
  • แรงงานบังคับและ
    การเกณฑ์แรงงาน
  • แรงงานเด็ก
  • สภาพการทำงานที่ปลอดภัย และ
    ถูกสุขลักษณะ
  • การเลือกปฏิบัติ
  • การล่วงละเมิดและคุกคามทางเพศ
  • การค้ามนุษย์
  • มาตรฐานการครองชีพและคุณภาพชีวิต
  • สุขภาพ และความปลอดภัยในชุมชน
  • การมีส่วนร่วมของชุมชน
  • มรดกทางวัฒนธรรม
  • ชนกลุ่มน้อย รวมไปถึงคนพื้นเมือง
  • การโยกย้ายถิ่นฐาน 
  • การบริหารจัดการด้านความปลอดภัย
  • ความรู้ความเข้าใจด้านความมั่นคงและความปลอดภัยที่เกี่ยวเนื่องกับสิทธิมนุษยชน
  • ทรัพยากรน้ำ
  • ผลกระทบของมลภาวะ
  • การบริหารจัดการของเสียและวัตถุอันตราย
  • ผลกระทบด้านความหลากหลายทางชีวิตภาพ
  • อุปสรรคในการเข้าถึงพลังงาน
  • สุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภค
  • ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล 
  • การต่อต้านทุจริตและคอร์รัปชั่น
  • การติดตามกฎหมาย
  • กฎระเบียบด้านสิทธิมนุษยชน

ประเด็นความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนที่สำคัญสำหรับธุรกิจในกลุ่ม ปตท. ได้แก่ ความมั่นคงปลอดภัย และอาชีวอนามัยของพนักงานและผู้รับเหมา สิทธิแรงงาน สภาพการทำงานของผู้ค้า มาตรฐานการเป็นอยู่ของชุมชน และสิทธิของชนพื้นเมือง ซึ่งมีมาตรการแก้ไข ลด และป้องกันความเสี่ยง และความก้าวหน้าการดำเนินงาน ดังนี้

ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน

ประเด็นย่อย

กิจกรรม/ พื้นที่หรือบริษัทที่พบ

มาตรการแก้ไข/ ป้องกัน

ความก้าวหน้าการดำเนินงานปี 2565

ความมั่นคงปลอดภัย และอาชีวอนามัยของผู้ปฏิบัติงาน
ความมั่นคงปลอดภัยในการทำงานในพื้นที่อ่อนไหว อยู่ในภัยสงครามหรือความขัดแย้ง
การสำรวจและผลิตในพื้นที่/ประเทศที่มีความขัดแย้งทางการเมือง
  • การปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของพื้นที่อย่างเคร่งครัด รวมถึงหลักธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนสากล
  • การกำหนดมาตรการด้านความมั่นคง ความปลอดภัยอย่างเข้มข้น
  • การติดตามสถานการณ์ การประเมินความเสี่ยง และรายงานให้ผู้บริหารอย่างต่อเนื่อง
  • การสื่อสาร และสร้างความเข้าใจให้พนักงาน คู่ค้า ผู้รับเหมาปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของพื้นที่ รวมถึงหลักสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง
  • การจัดทำแผนรองรับหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงมีการซ้อมแผนฉุกเฉิน
  • การประชุมคณะกรรมการเพื่อรับทราบและให้ข้อคิดเห็นในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
ความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงาน
การขนส่งผลิตภัณฑ์ทางถนน
  • การอบรมพนักงานเรื่องการขับขี่ปลอดภัย
  • การกำหนดเส้นทาง จุดพักรถที่เหมาะสมร่วมกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญและพนักงานขับรถ
  • มีการจัดอบรมพนักงานขับรถตามรอบที่กำหนด
  • การกำหนดเส้นทางการขนส่งร่วมกันช่วงเทศกาล
สิทธิแรงงาน การปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม การประเมินผลการทำงานประจำปีไม่เหมาะสม
  • การปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน
  • ระบบและนโยบายบริหารทรัพยากรบุคคลที่สื่อสารชัดเจน
  • การหารือร่วมกับพนังานเป็นประจำเพื่อรับฟังข้อคิดเห็น และพัฒนาสวัสดิการอย่างต่อเนื่อง
  • สหภาพแรงงาน คณะกรรมการลูกจ้าง คณะกรรมการสวัสดิการ ประชุมทุก 2 เดือน
  • กลไกการร้องเรียนสำหรับพนักงานที่พบว่าหัวหน้างานหรือบริษัทละเมิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ซึ่งมีการสอบสวนข้อร้องทุกข์ภายใน 14 วัน รวมถึงการรักษาความลับของผู้ร้องเรียน (confidentiality) บทลงโทษแก่ผู้กระทำผิด ตลอดจนการเยียวยาและชดเชยพนักงาน
สิทธิมนุษยชนในสายโซ่อุปทาน การจ้างงานของผู้รับเหมา การซ่อมบำรุงประจำปี
  • กระบวนการคัดเลือกคู่ค้าอย่างมีหลักเกณฑ์
  • การกระบวนตรวจสอบ ติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามสัญญา
  • การอบรมผู้รับเหมา บริษัทคู่ค้า เรื่องหลักสิทธิมนุษยชน
  • การจัดซื้อจัดจ้างเป็นไปตามกระบวนการคัดเลือกคู่ค้าของบริษัทที่กำหนดไว้
  • การทบทวนเนื้อหาใน SSCoC ที่เกี่ยวข้องกับหลักสิทธิมนุยชนในครอบคลุมหลักการสากล
  • การสื่อความบริษัทคู่ค้าประจำปีของบริษัท รวมถึงรับฟังข้อคิดเห็นต่าง ๆ เพื่อนำมาพัฒนาระบบ การทำงาน
มาตรฐานการเป็นอยู่ของชุมชน

การจราจรในชุมชน

การขนส่งผลิตภัณฑ์ทางถนน การบริหารจัดการเส้นททางและเวลาการเดินรถร่วมกับชุมชนรอบสถานประกอบการ แผนการเดินรถขนส่งผลิตภัณฑ์ และผลการประเมินความพึงพอใจของชุมชน

ทรัพย์สินของชุมชนเสียหาย

การก่อสร้างและขยายธุรกิจ การหารือร่วมกับชุมชนรอบสถานประกอบเพื่อป้องกันเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น และการรับข้อร้องเรียน รวมถึงการเยียวอย่างเหมาะสม
  • การสื่อสารกับชุมชนอย่างต่อเนื่องกับผู้นำชุมชน call center
  • กระบวนการชดเชยผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อทรัพย์สินของชุมชน


ผู้ถือสิทธิ์และกลุ่มเปราะบาง

ปตท. มีการพิจารณากลุ่มผู้ถือสิทธิ์ที่อาจได้รับผลกระทบในระหว่างการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence) อย่างครบถ้วนทุกกลุ่ม ได้แก่ พนักงาน ผู้ส่งมอบ พนักงานภายนอก ผู้รับเหมา คู่ค้าทางธุรกิจ ชุมชนท้องถิ่น ลูกค้า/ผู้บริโภค และกลุ่มเปราะบาง (แรงงานข้ามชาติ ผู้หญิง ชนพื้นเมือง LBGTQIA+ ประชาชน ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส และเด็ก) ซึ่ง ปตท. มีการสื่อสารความมุ่งมั่น และการดำเนินธุรกิจที่เคารพต่อสิทธิมนุษยชนตลอดสายโซ่อุปทาน โดยการสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ กลุ่มต่าง ๆ ผ่านช่องทางที่เหมาะสม เช่น

  • พนักงาน เช่น ในการอบรมตั้งแต่วันแรกของการทำงาน ในหลักสูตร SSHE การจัดอบรมหลักสูตรสิทธิมนุษยชนเบื้องต้น การประชาสัมพันธ์ภายในองค์กรผ่านอีเมล วิดีโอ เป็นต้น
  • คู่ค้าทางธุรกิจ เช่น การสัมมนาผู้ค้า ประจำปี (ทั้งระดับองค์กร และระดับสายธุรกิจ) กลุ่มอื่น ๆ เช่น เครือข่าย สมาคม สถาบัน หน่วยงานภาครัฐ


มาตรการแก้ไข/ป้องกัน

การบริหารจัดการข้อร้องเรียนและการเยียวยาGRI407-1, GRI408-1, GRI409-1

การบริหารจัดการข้อร้องเรียนGRI411-1

ปตท. พัฒนาระบบรับเรื่องร้องเรียนทั้งภายในและภายนอก เสนอเพิ่มช่องทางประเภทของข้อร้องเรียนเข้าไปเพื่อชี้ให้เห็นหลากหลายช่องทางให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้ตามวิธีที่สะดวกตลอดเวลา รองรับทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อรับประเด็นข้อร้องเรียนทุกประเภท รวมถึงข้อกังวลและข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่อาจได้รับผลกระทบ สำหรับบริษัทในกลุ่ม ปตท. ในต่างประเทศ สามารถติดต่อบริษัทผ่านทางเว็บไซด์และสื่อโซเชียลในภูมิภาคซึ่งรองรับภาษาท้องถิ่นในประเทศนั้น ๆ 

ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียช่องทางการรับเรื่องร้องเรียนตัวอย่างประเภทของข้อร้องเรียนที่อาจจะเกิดขึ้น
พนักงาน
  • สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)
  • ฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคลของแต่ละหน่วยธุรกิจโดยตรง
  • ส่วนแรงงานสัมพันธ์โดยผ่านระบบข้อร้องเรียนแรงงานสัมพันธ์ทางอินเทอร์เน็ตหรือทางโทรศัพท์
  • คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ผ่านตัวแทนฝ่ายลูกจ้าง
  • คณะกรรมการร่วมปรึกษาหารือ (Joint Consultation Committee: JCC)
  • สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น pttvoice@pttplc.com ระบบข้อร้องเรียนด้านแรงงานสัมพันธ์ จริยธรรมและจรรยาบรรณ
  • สิทธิแรงงาน
  • การเลือกปฏิบัติ
  • การคุกคามทางเพศและที่ไม่ใช่ทางเพศ
คู่ค้า ลูกค้า และบุคคลภายนอก
  • ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (โทร 1365)
  • ส่งจดหมายร้องเรียนได้โดยตรงไปยังประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. คณะกรรมการตรวจสอบ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สำนักตรวจสอบภายใน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ทรัพยากรบุคคลองค์กร หรือผู้จัดการฝ่ายสำนักกรรมการผู้จัดการใหญ่และเลขานุการบริษัท และฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์
  • ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ได้หลากหลายช่องทาง เช่น www.pttplc.com, www.pttbluecard.com, Facebook PTT News, We love PTT, PTT Blue Society และ PTT Blue Card Application เป็นต้น
  • การประชุมร่วมกับคู่ค้า
  • สิทธิผู้บริโภค
  • การปฏิบัติตามฉันทานุมัติที่ได้รับการรับรู้บอกแจ้งล่วงหน้าและเป็นอิสระ (FREE, PRIOR AND INFORMED CONSENT: FPIC)
  • สิทธิแรงงาน
  • การเลือกปฏิบัติ
  • การคุกคามทางเพศและไม่ใช่ทางเพศ
  • มลพิษทางสิ่งแวดล้อมและเหตุรำคาญ
  • ความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน
ชุมชนรอบสถานประกอบการของ ปตท.
  • จัดพนักงานชุมชนสัมพันธ์ลงพื้นที่ร่วมกับชุมชนตามแผนที่กำหนดของแต่ละพื้นที่ เพื่อรับเรื่องร้องเรียน รวมถึงความต้องการ และความคาดหวัง รวมถึงผลกระทบจากการดำเนินงานที่อาจเกิดขึ้น เพื่อนำมาดำเนินการแก้ไข รวมถึงออกแบบช่องทางในการรับเรื่องร้องเรียน และช่องทางการสื่อสารที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ต่อไป

ทั้งนี้ ปตท. ส่งเสริมให้คู่ค้ามีการจัดตั้งกลไกการรับข้อร้องเรียนจากผู้มีส่วนได้เสียทั้งภายในและภายนอก และสนับสนุนให้คู่ค้าแสดงความคาดหวังต่อคู่ค้าของตนในการส่งเสริมกลไกการรับเรื่องร้องทุกข์ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มในห่วงโซ่อุปทานเข้าถึงการเยียวยาอีกด้วย

ปตท. ตระหนักถึงความสำคัญของการปกป้องผู้ร้องเรียนและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน โดยกำหนดกระบวนการในการปกป้องผู้ร้องเรียนรวมถึงมีมาตรการในการคุ้มครองและให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ร้องเรียน หรือผู้ให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลเบาะแสที่เกี่ยวข้อง และได้กำหนดระยะเวลาในการจัดการข้อร้องเรียนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยข้อร้องเรียนของพนักงาน มีกำหนดระยะเวลาในแต่ละขั้นตอนอยู่ที่ไม่เกิน 30 วัน ในขณะที่ข้อร้องเรียนจากภายนอกจะมีการตรวจสอบ แก้ไขปัญหา และแจ้งผลของการดำเนินงานกลับสู่ผู้ร้องเรียนภายใน 7 วันทำการ ทั้งนี้ ตลอดปี 2564 ไม่พบข้อร้องเรียนที่เกิดจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือการปฏิบัติที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชน


ช่องทางการรับข้อร้องเรียนของกลุ่ม ปตท.

การเยียวยา

ปตท. ให้ความสำคัญกับกระบวนการในการปกป้องและเยียวยาผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากการดำเนินงาน สิทธิชุมชน โดยจัดให้มีช่องทางในการรับเรื่องร้องเรียนในทุก ๆ สถานการณ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินและภาวะวิกฤติในแต่ละพื้นที่ และกำหนดรูปแบบให้มีการเยียวยาอย่างทันที (Access to remedy) ทั้งทางรูปแบบตัวเงิน อาทิ การจ่ายเงินชดเชย การสนับสนุนเงินช่วยเหลือ และไม่ใช่ตัวเงิน เช่น การจัดตั้งจุดรับเรื่องร้องเรียนฉุกเฉิน เพื่อสนับสนุนและให้การเยียวยาในเบื้องต้น การให้คำแนะนำ หรือสนับสนุนโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้คำแนะนำ โดยจัดเตรียมช่องทางการสื่อสารเพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อร้องเรียนของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างเป็นระบบ เช่น

  • คู่ค้า ปตท. จัดให้มีการเสนอแนะ ข้อคิดเห็นเพื่อการปรับปรุงระบบข้อร้องเรียน ในการสัมมนาคู่ค้าประจำปี โดยมีข้อคิดเห็นและทาง ปตท. ได้นำมาปรับปรุง เช่น การบริหารจัดการข้อมูลส่วนบุคคล การแสดงช่องทางการร้องเรียนบนเว็บไซด์ เป็นต้น
  • พนักงาน หน่วยงานที่รับผิดชอบได้มีการเชิญกลุ่มตัวอย่างพนักงานเข้าร่วมให้ข้อคิดเห็นในการปรับปรุงระบบข้อร้องเรียนภายใน และร่วมทดสอบระบบดังกล่าว เป็นต้น

ทั้งนี้ ได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่อาจได้รับผลกระทบสามารถแจ้งข้อร้องเรียนไปยังศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของแต่ละโครงการหรือแจ้งที่ช่องทาง Call Center ของ ปตท. ซึ่ง ปตท. จะดำเนินการวิเคราะห์หาสาเหตุ ดำเนินการแก้ไขและป้องกันตามขั้นตอนต่อไป ในกรณีที่กระบวนการปกป้องและเยียวยาไม่สามารถหาข้อสรุปได้ในเบื้องต้น ปตท. จะกำหนดกลไกในการปกป้องและเยียวยาโดยการรับเรื่องร้องเรียนแบบใช้คณะทำงานไตรภาคี ที่ประกอบด้วยตัวแทนจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้แก่ ผู้แทนจากหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันบริหารจัดการด้วยวิธีที่เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ เพื่อความพึงพอใจของทุกฝ่ายต่อไป


จำนวนข้อร้องเรียนด้านสิทธิมนุษยชน 


ทั้งนี้รายละเอียดข้อร้องเรียนทั้งหมดสามารถศึกษารายละเอียดใน เว็บไซด์ ปตท. หัวข้อ การปฏิบัติที่เป็นธรรม

การสื่อสารและอบรมGRI404, GRI410-1

ปตท. ได้สื่อสารคำแถลงด้านสิทธิมนุษยชน รวมทั้งรายละเอียดของการบริหารจัดการ ประเด็น/ ผลกระทบด้านความยั่งยืน รวมถึงสิทธิมนุษยชน มาตรการลดผลกระทบต่าง ๆ ช่องทางและความคืบหน้าของการแก้ไขเยียวยาข้อร้องเรียน ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกลุ่มต่าง ๆ ได้รับทราบและเข้าใจผ่านช่องทางต่าง ๆ อย่างเหมาะสม ตั้งแต่ระดับชุมชนรอบข้างพื้นที่ปฏิบัติงาน ที่มีการจัดกิจกรรมชุมชนสัมพันธ์ เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากชุมชน  ระดับสังคม ประชาชนในประเทศผ่านเว็บไซต์ ข่าวประชาสัมพันธ์ ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียระดับองค์กร เช่น ผู้ลงทุน ผู้ค้า ผ่านแบบ 56-1 การสัมมนาผู้ค้าประจำปี เป็นต้น ซึ่งสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในแบบ 56-1 One Report หัวข้อ การขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อความยั่งยืน หัวข้อย่อย การสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 

สำหรับผู้ปฏิบัติงานภายในองค์กร ปตท. มุ่งเน้นการสร้างความตระหนักรู้ให้แก่พนักงานทุกคนภายในองค์กรในเรื่องของธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน อย่างสม่ำเสมอ ผ่านการสื่อความทางบทความ วารสาร และอีเมล PR ภายใน ครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับคำแถลง/ นโยบาย หลักการ แนวทาง ระบบการบริหารจัดการด้านสิทธิมนุษยชน และกรณีศึกษาจากธุรกิจต่าง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ปตท. ยังจัดหลักสูตรการบริหารจัดการความยั่งยืน และหลักสูตรความรู้พื้นฐานด้านสิทธิมนุษยชนให้แก่พนักงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับในรูปแบบการอบรม และวิดีโอสื่อความ โดยมีเนื้อหาครอบคลุมการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนในภาคธุรกิจ รวมทั้งตัวอย่างแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศในการดำเนินธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชน ซึ่งปัจจุบันได้กำหนดหัวข้อสิทธิมนุษยชนเบื้องต้นให้อยู่หลักสูตร SSHE1 สำหรับพนักงานใหม่ มีการจัดรวมทั้งหมด 64 รุ่น นอกจากนี้ ในปี 2564 ยังได้พัฒนาหลักสูตรออนไลน์เกี่ยวกับนโยบายการกำกับดูแลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจด้านจริยธรรมในการปฏิบัติงาน การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน และการเคารพสิทธิมนุษยชนระหว่างการปฏิบัติงานในทุกสถานการณ์ ซึ่งกำหนดเป็นหลักสูตรบังคับสำหรับพนักงานทุกระดับ โดยกำหนดเป็นตัวชี้วัดผลการดำเนินงานของผู้บริหารระดับผู้จัดการส่วนและผู้จัดการฝ่ายขึ้นไป 

นอกจากนี้ ผู้บริหารระดับสูงยังได้แสดงบทบาทความเป็นผู้นำที่ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนควบคู่ไปกับการทำธุรกิจ ผ่านภาคีเครือข่ายและสื่อต่าง ๆ  เช่น ในปี 2564 รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สำนักกฎหมายของ ปตท. ได้เข้าร่วมบรรยายและแบ่งปันแนวปฏิบัติสำหรับการบริหารจัดการสิทธิมนุษยชนของ ปตท. ในงานสัมมนากลุ่มย่อยโครงการธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนสำหรับภาคธุรกิจในตลาดทุนไทย (ระยะที่ 1) โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และหลักสูตร “ธรรมาภิบาลกับการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศสำหรับผู้บริหาร” จัดโดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านสิทธิมนุษยชน ส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ รวมทั้งผลักดันและขับเคลื่อนให้เกิดการนำหลักการดังกล่าวไปปฏิบัติเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย  รวมถึงได้ให้สัมภาษณ์ในพอดแคสต์ The Secret Sauce หัวข้อ โปร่งใส ผูกขาด สิทธิมนุษยชน กฎหมายที่ทุกบริษัทต้องรู้  ปี 2565 ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่และผู้บริหารร่วมแสดงเจตนารมณ์สนับสนุนหลักสากล 10 ประการและ SDGs ในงาน GCNT Forum 2022 รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลยุทธ์องค์กรและความยั่งยืน ของ ปตท.ร่วมบรรยายในงานสัปดาห์ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ปี 2565 และคณะทำงานร่วมเสวนาการบริหารจัดการด้านสิทธิมนุษยชน ของ ปตท. ในงานนี้อีกด้วย 

สำหรับการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ปตท. ระบุให้บริษัทรักษาความปลอดภัยต้องดำเนินการฝึกอบรมความรู้ที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานให้แก่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทุกคนตามข้อกำหนดงานจ้างก่อนเข้าปฏิบัติงาน โดยเน้นเรื่องสิทธิมนุษยชน ได้แก่ ความมั่นคงปลอดภัยเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน ไม่ใช้ความรุนแรงกับผู้อื่น แม้ผู้กระทำผิด เจ้าหน้าที่ รปภ. ไม่มีสิทธิ์จับกุมผู้ใด ยกเว้นผู้กระทำผิดซึ่งหน้าในสถานที่ของ ปตท. และผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิ์ที่จะได้รับการสันนิษฐานว่าบริสุทธิ์ จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่ามีความผิดตามกฎหมาย ในทุก ๆ ปี ปตท. และกลุ่ม ปตท. จะมีการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในการรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น การปิดล้อมพื้นที่โดยชุมชน หรือผู้ที่มาเรียกร้อง ซึ่ง ปตท. ได้มีการทำงานร่วมกับสมาชิกชุมชนเพื่อปรับปรุงความปลอดภัยหรือป้องกันความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นจากสถานปฏิบัติงานของบริษัท (โดยเฉพาะในกรณีที่มีการใช้กำลังจากหน่วยรักษาความปลอดภัย ในพื้นที่การดำเนินงานที่เกิดภัยสงครามหรือความขัดแย้ง) รวมถึงกระบวนการในการจัดการกับการคุกคาม การข่มขู่ และความรุนแรงต่อผู้หญิง  โดยในปี 2565 ไม่มีข้อร้องเรียนด้านสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของ ปตท.

เครือข่ายความร่วมมือด้านสิทธิมนุษยชน

ปตท. เข้าร่วมเป็นภาคีของ United Nations Global Compact (UNGC) และสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (Global Compact Network Thailand: GCNT) เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจที่เคารพและประยุกต์หลักสากล 10 ประการ นอกจากนี้ ปตท. ยังมีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลป้อนกลับกับภาครัฐเพื่อสนับสนุนการจัดทำแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย (National Action Plan on Business and Human Rights: NAP) และแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 4 อย่างต่อเนื่อง

คู่ค้าและคู่ความร่วมมือตลอดสายโซ่อุปทาน

ปตท. ส่งเสริมและผลักดันให้พันธมิตรทางธุรกิจในสายโซ่อุปทานของ ปตท. ดำเนินงานโดยให้ความเคารพต่อสิทธิมนุษยชนและปฏิบัติตามแนวทางด้านสิทธิมนุษยชนของ ปตท. โดยเริ่มจากการคัดเลือกผู้ค้าทั้งในกลุ่มสัญญาที่มีอยู่เดิมและสัญญาใหม่ ที่มีการดำเนินงานผ่านตามหลักเกณฑ์การประเมินด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environment, Social and Governance: ESG) นอกเหนือไปจากเกณฑ์พื้นฐานด้านคุณภาพและการเงิน โดยผู้ค้าที่ได้คะแนนประเมินไม่ผ่านตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด จะไม่ได้รับการอนุมัติให้อยู่ในทะเบียนผู้ค้าระบบงานทะเบียนผู้ค้า ปตท. (PTT Approved Vendor List : PTT AVL)

นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดแนวทางการปฏิบัติอย่างยั่งยืนของผู้ค้า (Sustainable Supplier Code of Conduct) ซึ่งประกอบด้วย 4 หัวข้อหลัก ซึ่งครอบคลุมหลักการด้านสิทธิมนุษยชนได้แก่ จริยธรรมในการดำเนินธุรกิจ ความรับผิดชอบต่อสังคม ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และความปลอดภัย ให้มีผลบังคับใช้กับผู้ค้าที่ทำสัญญากับ ปตท. ในวงเงินตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป และ/หรือ งานที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม ทั้งยังมีการติดตามผลการดำเนินงานผ่านการตรวจสอบและประเมินผู้ค้าอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2559 โดยเฉพาะกลุ่มผู้ค้าที่สำคัญและมีความเสี่ยงสูง หากพบการดำเนินงานที่ละเมิดแนวทางการปฏิบัติอย่างยั่งยืนของผู้ค้า จะต้องมีการจัดทำแผนการแก้ไข ทั้งนี้ ปตท. สามารถยกเลิกสัญญาหากยังพบการละเมิดแนวทางการปฏิบัติฯ ดังกล่าว

การส่งเสริมความหลากหลาย ความเท่าเทียมและการมีส่วนร่วม 

ปตท. ส่งเสริมการยอมรับความแตกต่างและอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม ในการเป็นหลักปฏิบัติที่ทำให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคนมั่นใจได้ว่าจะไม่มีการเลือกปฏิบัติในการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน การดูแลทรัพยากรบุคคล การฝึกอบรม และการเสริมสร้างศักยภาพของพนักงาน (รายละเอียดผลความหลากหลาย เช่น สัดส่วนของพนักงานหญิง สัดส่วนค่าตอบแทนเฉลี่ยหญิงและชาย ตัวชี้วัดความหลากหลายทางศาสนา มีข้อมูลแสดงในเว็บไซด์ ปตท. หัวข้อ ทิศทางการบริหารคน)  โดยไม่เลือกปฏิบัติในความแตกต่างด้านอายุ ความทุพพลภาพ เพศ สถานภาพสมรส การตั้งครรภ์และการลาคลอดบุตร ความคิดเห็นทางการเมือง เชื้อชาติ/เผ่าพันธุ์ ศาสนาและความเชื่อ รสนิยมทางเพศ ภูมิหลังด้านเศรษฐกิจและสังคม การเป็นสมาชิกหรือการเข้าร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับสหภาพแรงงาน รูปแบบการทำงาน การมีหรือไม่มีครอบครัว และประเด็นอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานใน ปตท.

ปตท. มีการกำหนดมาตรฐานความประพฤติและการกระทำที่เป็นความผิดทางวินัย และประกาศให้พนักงานทราบโดยทั่วกันเพื่อให้พนักงานประพฤติปฏิบัติ หากผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม ให้ผู้บังคับบัญชาว่ากล่าวตักเตือน หรือในกรณีร้ายแรงมากขึ้น จะถือเป็นความผิดวินัย พนักงานจะถูกลงโทษหนักเบาตามลักษณะแห่งความผิดตามควรแก่กรณี

การกระทำหรือไม่กระทำการใดอันเป็นการแบ่งแยก กีดกัน การล่วงละเมิดทางเพศและไม่เกี่ยวกับเพศ หรือจำกัดสิทธิประโยชน์ใดๆ ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม โดยปราศจากความชอบธรรม เพราะเหตุที่บุคคลนั้นเป็นเพศชายหรือเพศหญิง หรือ มีการแสดงออกที่แตกต่างจากเพศโดยกำเนิด หรือด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ (ข้อ 3.8 ของข้อกำหนดฯ HR หมวด 20 มาตรฐานความประพฤติและการกระทำที่เป็นความผิดทางวินัย) ถือเป็นความผิดวินัย หากผู้ใดกระทำจะถูกลงโทษหนักเบาตามลักษณะแห่งความผิดตามควรแก่กรณี (ข้อ 3 ของข้อกำหนดฯ HR หมวด 20 มาตรฐานความประพฤติและการกระทำที่เป็นความผิดทางวินัย) โดย ตามแนวทางการลงโทษทางวินัยของ ปตท. การกระทำข้างต้นถือเป็นกรณีความผิดปานกลาง มีโทษงดขึ้นเงินเดือนในปีถัดไปไม่เกิน 6 เดือน (ข้อ 2 ของตารางแนบท้าย แนวปฏิบัติเร่องแนวทางการพิจารณาลงโทษทางวินัยและการพิจารณาลดหย่อนโทษ)

การลงทุนของบริษัทในกลุ่ม ปตท. ในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

ปตท. ยึดถือการเคารพสิทธิมนุษยชนเป็นหนึ่งในแนวปฏิบัติขั้นพื้นฐาน และมีความกังวลเป็นอย่างมากเกี่ยวกับเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเมียนมาร์ภายหลังการรัฐประหารปี 2564 โดยสนับสนุนการแก้ไขปัญหาวิกฤตอย่างสันติและเข้มงวดในการปฏิบัติตามกฎหมาย แนวปฏิบัติสากลในทุกพื้นที่ปฏิบัติการ รวมถึงการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อปรับปรุงกระบวนการในการตัดสินใจและการบริหารจัดการ เพื่อให้แน่ใจว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นการส่งเสริมเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ช่วยเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงแหล่งพลังงานได้อย่างเท่าเทียม ปตท. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสถานการณ์ในเมียนมาร์จะคลี่คลาย และกลับคืนสู่สภาวะปกติในเร็ววัน

บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม ปตท. ได้เข้าร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาในปี 2564 นั้น ปตท. ได้ติดตามและประเมินสถานการณ์ เพื่อพิจารณาผลกระทบด้านต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นต่อบริษัทตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง และกำหนดมาตรการแก้ไข/ ป้องกันเพื่อยกระดับการกำกับดูแลการและบริหารจัดการอย่างทันท่วงที ดังนี้

  • คณะกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ พิจารณาผลกระทบด้านต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ทั้งมิติทางธุรกิจ และมิติสังคม เช่น ความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน ชุมชนรอบข้าง ความมั่นคงทางพลังงานที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน ตลอดจนการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้น ซึ่งได้นำมาทบทวนการประเมินความเสี่ยง และรายงานต่อคณะกรรมการ ปตท. เพื่อพิจารณากำหนดทิศทางการดำเนินงาน ตลอดจนมาตรการแก้ไข/ ป้องกันอย่างเหมาะสม

    ซึ่งจากการพิจารณาอย่างรอบด้าน ร่วมกับบริษัทในกลุ่ม เห็นว่า การพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติเพื่อใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าซึ่งเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาประเทศทั้งภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม เป็นปัจจัยสำคัญที่มีความจำเป็นต่อความเป็นอยู่ของชาวเมียนมาในวงกว้าง ทั้งด้านการดำรงชีวิตประจำวัน โรงพยาบาล โทรคมนาคม สถานการศึกษา ธุรกิจต่าง ๆ ซึ่งต้องใช้พลังงานในการขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ปตท.สผ. จึงยังคงดำเนินธุรกิจต่อไป

  • ปตท. ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งมีบทบาทในการกำกับดูแลบริษัทในกลุ่ม ได้กำหนดมาตรการแก้ไข/ ป้องกันในกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
    • ปตท. แต่งตั้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ เป็นกรรมการใน คณะกรรมการ (Board of Directors) ของ ปตท.สผ. ซึ่งได้รับรายงานสถานการณ์ในรายละเอียดอย่างใกล้ชิด สามารถให้ความเห็น ข้อเสนอแนะ สั่งการได้โดยตรง 
    • ปตท. ยกระดับการปฏิบัติตาม ระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์การลงทุนและบริหารจัดการงบประมาณเพื่อการลงทุนของ ปตท. และบริษัทในกลุ่ม ปตท. และแนวทางการกำกับดูแลการลงทุนของบริษัทที่ ปตท. ถือหุ้น เพื่อใช้ในการกลั่นกรองการตัดสินใจ ติดตาม และกำกับดูแลการลงทุนของ ปตท. และบริษัทในกลุ่ม ปตท. โดยมีกระบวนการบริหารการลงทุนเชิงกลยุทธ์ (Strategic Investment Management: SIM) ที่มีคณะกรรมการบริหารการลงทุน ประกอบด้วยผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ทำหน้าที่พิจารณากลั่นกรองการลงทุนก่อนนำเสนอคณะกรรมการจัดการของ ปตท. ให้ความเห็นชอบเพื่อนำเสนอคณะกรรมการ ปตท. พิจารณาอนุมัติการลงทุน  การลงทุนที่มีมูลค่าการลงทุนสูงหรือมีความเสี่ยงด้านต่าง ๆ ซึ่งครอบคลุมประเด็นความยั่งยืนอย่างมีนัยสำคัญ จะต้องนำเสนอต่อคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงองค์กรพิจารณาให้ข้อคิดเห็นประกอบการตัดสินใจลงทุนของคณะกรรมการ ปตท.  เมื่อการลงทุนได้รับอนุมัติดำเนินการจากคณะกรรมการ ปตท.แล้ว จะมีการติดตามผลเพื่อรายงานต่อคณะกรรมการบริหารการลงทุน คณะกรรมการจัดการของ ปตท. และคณะกรรมการปตท. เป็นรายไตรมาส
    • จัดตั้งคณะกรรมการรองรับมาตรการคว่ำบาตรขององค์กรระดับสากลต่อประเทศเมียนมาร์ของกลุ่ม ปตท. โดยมีประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ เป็นประธาน และมีผู้บริหารระดับสูงของ ปตท. และ บริษัทในกลุ่ม ปตท. ที่มีการลงทุนในเมียนมาร์ เป็นกรรมการ เพื่อติดตามสถานการณ์และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งผู้ปฏิบัติงานของบริษัท ชุมชนทั้งที่เกิดขึ้นทางตรงและทางอ้อมอย่างใกล้ชิด รวมทั้งทบทวน/ กำหนดมาตรการแก้ไข/ ป้องกันและดำเนินการอย่างเร่งด่วนและรัดกุม
    • ความเชื่อมโยงของสถานการณ์ส่งผลให้ ปตท. และบริษัทในกลุ่ม ถูกพิจารณาว่ามีการปฏิบัติที่ไม่สอดคล้องกับคำแถลงด้านสิทธิมนุษยชน รวมทั้งนโยบายอื่น ๆ ที่ประกาศไว้  ปตท. จึงได้ยกระดับกระบวนการควบคุมภายใน ให้หน่วยงานเจ้าของนโยบายติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทอย่างใกล้ชิด ระบุและประเมินความเสี่ยงของการดำเนินงานภายในองค์กร ตลอดจนของผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่คุณค่า ที่อาจส่งผลต่อการปฏิบัติไม่สอดคล้องกับนโยบายที่กำหนด หากมีแนวโน้มของความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ให้กำหนดมาตรการแก้ไข/ ป้องกันอย่างเป็นระบบ

      สำหรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมียนมาร์ เพื่อควบคุม ป้องกัน และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อ สุขภาพ ชีวิตและทรัพย์สินของพนักงานและผู้รับเหมาในพื้นที่ ปตท.สผ. ได้ยกระดับระบบการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย มั่นคง อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการด้านสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ปฏิบัติการที่ตั้งอยู่ในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาอย่างเข้มข้นมากยิ่งขึ้น

    • สื่อสารและชี้แจงสถานการณ์และข้อมูลที่สำคัญ ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรับทราบอย่างโปร่งใส และทันกาล ซึ่ง ปตท.สผ. ได้จัดทำข้อมูลชี้แจงถึงการตัดสินใจและการดำเนินการให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกลุ่มต่าง ๆ เป็นระยะ เช่น หนังสือชี้แจงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย Press Release ทางเว็บไซต์ เป็นต้น
    • นอกจากนี้ ปตท.สผ. ยังคงดำเนินโครงการเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะช่วยส่งเสริมให้ชุมชนในพื้นที่ที่เราเข้าไปดำเนินการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ปตท.สผ. มีความห่วงใยในสวัสดิภาพและความปลอดภัยของชาวเมียนมาทุกคน และหวังว่าเหตุการณ์จะคลี่คลายได้ในเร็ววัน เพื่อให้สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมากลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง

กลุ่ม ปตท. การเจรจาไกล่เกลี่ยภายใต้การดำเนินคดีแบบกลุ่มจากเหตุการณ์มอนทารากับกลุ่มผู้เลี้ยงสาหร่ายในประเทศอินโดนีเซีย 

ปตท. ยึดถือการเคารพสิทธิมนุษยชนเป็นหนึ่งในแนวปฏิบัติขั้นพื้นฐาน และให้ความสำคัญในการรักษาสิ่งแวดล้อมในทุกพื้นที่ไปทำธุรกิจ ซึ่งจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ กลุ่ม ปตท. ในนาม PTTEP AAA ได้เข้าร่วมกระบวนการไกล่เกลี่ยกับกลุ่มผู้เลี้ยงสาหร่าย ตามคำสั่งศาลสหพันธรัฐประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นขั้นตอนตามปกติของกฎหมายประเทศออสเตรเลียและได้บรรลุข้อตกลงในหลักการ โดย PTTEP AAA จะชำระเงินจำนวน 192.5 ล้าน ดอลลาร์ออสเตรเลีย (หรือเทียบเท่าประมาณ 129 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา) เพื่อระงับการดำเนินคดีแบบกลุ่มทั้งหมด (รวมถึงการอุทธรณ์) กับกลุ่มผู้เลี้ยงสาหร่ายในประเทศอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงในหลักการเพื่อระงับการดำเนินคดีแบบกลุ่มนี้ไม่ถือเป็นการรับผิดของ PTTEP AAA โดยยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ในขณะนี้เนื่องจากข้อตกลงในหลักการดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลสหพันธรัฐประเทศออสเตรเลีย