การสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน |
![]() ![]() |
ผลกระทบ ความเสี่ยงและโอกาส
ปตท. ตระหนักถึงความสำคัญของการมีโครงสร้างการกำกับดูแลที่แข็งแรงอันเป็นพื้นฐานของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสและการคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียอย่างรอบด้าน ควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพของคณะกรรมการและคณะผู้บริหาร เพื่อเสริมสร้างผลประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ การมีโครงสร้างการกำกับดูแลที่ดีจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และเสริมสร้างภาพลักษณ์ขององค์กร เพิ่มโอกาสในการเติบโตขององค์กรในระดับสากล ในทางตรงกันข้าม หากบริษัทมีโครงสร้างการกำกับดูแลที่ไม่เพียงพอ อาจก่อให้เกิดด้านผลกระทบเชิงลบ เพิ่มความเสี่ยงให้มีข้อพิพาททางกฎหมายจนส่งผลให้เกิดการดำเนินคดีหรือค่าปรับจากการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด และส่งผลถึงภาพลักษณ์ของบริษัท จนถึงขั้นส่งผลกระทบต่อการหยุดชะงักการดำเนินธุรกิจ
วัตถุประสงค์/ เป้าหมาย
ปตท.มีหลักการบริหารและดำเนินธุรกิจตามวิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” และมีเป้าหมายในการปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ที่สอดคล้องตามแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดีในรัฐวิสาหกิจและแนวทางปฏิบัติของสำนักงานคณะกรรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ซึ่งจะส่งผลให้เกิดระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล สร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และสร้างความน่าเชื่อถือต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย
แนวทางการบริหารจัดการ
โครงสร้างกำกับดูแลและคณะกรรมการGRI2-9
ปตท. กำหนดโครงสร้างกำกับดูแลองค์กร ประกอบด้วย คณะกรรมการ ปตท. ที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้ถือหุ้นเพื่อกำกับดูแลแนวทางการดำเนินงานของ ปตท. โดยแบ่งเป็นคณะกรรมการเฉพาะเรื่องจำนวน 5 คณะ ช่วยกลั่นกรองงานที่มีความสำคัญ ได้แก่ คณะกรรมการตรวจสอบ คณะกรรมการสรรหา คณะกรรมการกำหนดค่าตอบแทน คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและความยั่งยืน และคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงองค์กร โดยมีฝ่ายจัดการ ซึ่งมีหน้าที่ดำเนินกิจการและบริหารงานของบริษัทโดยรวม มีประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่เป็นผู้บริหารสูงสุดของบริษัท
องค์ประกอบของคณะกรรมการ ปตท.GRI2-9, GRI2-11
โครงสร้างคณะกรรมการฯ (Board of Directors) เป็นระบบคณะกรรมการ 1 ระดับชั้น (One-Tier System) ประกอบด้วยกรรมการไม่น้อยกว่า 5 คน แต่ไม่เกิน 15 คน ซึ่งในปัจจุบันมีกรรมการอิสระทั้งสิ้น 12 คน และกรรมการที่ไม่ใช่ผู้บริหาร 2 คน ทั้งนี้ ปตท. ได้กำหนดให้ประธานกรรมการ ไม่เป็นผู้บริหารของ ปตท. และเป็นคนละบุคคลกับประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ อันเป็นแนวปฏิบัติต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2544 เพื่อให้การดำเนินงานมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้
คุณสมบัติของกรรมการ ปตท.
คณะกรรมการ ปตท. ประกอบด้วยผู้มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ ที่ส่งเสริมและเป็นประโยชน์แก่ ปตท. ได้เป็นอย่างดี มีความทุ่มเทและให้เวลาอย่างเต็มที่ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามความรับผิดชอบ คณะกรรมการได้รับการแต่งตั้งจากผู้ถือหุ้นเพื่อกำกับดูแลแนวทางการดำเนินงานของ ปตท. โดยสามารถอ่านรายละเอียดนโยบายและแนวปฏิบัติที่เกี่ยวกับคณะกรรมการฯ รวมถึงมีการเปิดเผยประวัติและรายละเอียดการดำรงตำแหน่งของกรรมการทุกรายในแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี/รายงานประจำปี 2567 (แบบ 56-1 One Report) และเว็บไซต์หัวข้อคณะกรรมการ ปตท.
คุณสมบัติของกรรมการอิสระ
ปตท. ได้กำหนดให้มีจำนวนกรรมการอิสระไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการที่มีอยู่ และกำหนดให้กรรมการอิสระไม่สามารถดำรงตำแหน่งเกิน 9 ปีต่อเนื่อง นอกจากนี้ ปตท.ยังได้กำหนดคุณสมบัติของกรรมการอิสระ ให้เป็นไปตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยสามารถศึกษาได้จากคู่มือที่แนบมา คุณสมบัติกรรมการอิสระของ ปตท.
กระบวนการสรรหาและคัดเลือกคณะกรรมการGRI2-10
เพื่อให้เกิดความโปร่งใส คณะกรรมการสรรหาทำหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์การสรรหาและคัดเลือกบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการใหม่ เมื่อมีตำแหน่งว่างลง (จากการลาออก หรือครบวาระ) เพื่อเสนอคณะกรรมการ ปตท. หรือที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อดำเนินการแต่งตั้งกรรมการบริษัท โดยคำนึงถึงองค์ประกอบของคณะกรรมการ ความรู้ ความเป็นอิสระ ความสามารถ และประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อ ปตท. ตามองค์ประกอบใน Board Skill Matrix ของ ปตท. และฐานข้อมูลกรรมการ (Director Pool) ของกระทรวงการคลังและของสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) รวมทั้งไม่มีกรณีผลประโยชน์ขัดแย้งกับ ปตท. (Conflict of Interest) อีกทั้งคุณสมบัติของกรรมการที่ต้องการสรรหา ต้องให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของบริษัท
กระบวนการสรรหาและคัดเลือกคณะกรรมการ พิจารณาเกณฑ์ ดังนี้
- นโยบายการพิจารณาถึงความหลากหลายของคณะกรรมการบริษัทฯ ในกระบวนการสรรหาและคัดเลือกคณะกรรมการ: ปตท. ได้ให้ความสำคัญกับความหลากหลายของคณะกรรมการ โดยให้ความสำคัญกับความแตกต่างทางด้านสังคม เชื้อชาติ เพศ ศาสนา ความเชื่อ วัฒนธรรม คณะกรรมการสรรหาได้กำหนดเป้าหมายในการสรรหากรรมการหญิงอย่างน้อย 2 ท่าน เพื่อให้โครงสร้างและองค์ประกอบของคณะกรรมการมีความหลากหลาย
- การพิจารณาคุณสมบัติด้านความรู้ หรือประสบการณ์เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมพลังงาน (Industry Experience ตามเกณฑ์ GICS Level 1): ปตท.ได้พิจารณาถึงคุณสมบัติในการเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาอาชีพที่จำเป็นต่อการบริหารกิจการของ ปตท. ได้อย่างสมดุล เช่น ผู้ที่มีความรู้ด้านธุรกิจพลังงาน/ปิโตรเลียม ด้านกฎหมาย/นิติศาสตร์ ด้านบัญชี/การเงิน
กระบวนการสรรหาและแต่งตั้งระดับจัดการ
เนื่องจาก ปตท. มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ ดังนั้น การสรรหาและแต่งตั้งระดับจัดการ ในตำแหน่งของกรรมการผู้จัดการใหญ่ รวมถึงผู้บริหารท่านอื่น ๆ จึงต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ โดยต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนดและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย
สำหรับการสรรหาและแต่งตั้งตำแหน่งของกรรมการผู้จัดการใหญ่นั้น ทางคณะกรรมการสรรหาได้มีการกำหนดทักษะที่จำเป็นของผู้นำบริษัท (CEO หรือเทียบเท่า) ที่ต้องการสรรหา เช่น ในเรื่องของความหลากหลายของระดับจัดการ คณะกรรมการสรรหาให้ความสำคัญกับความแตกต่างทางด้านสังคม เชื้อชาติ เพศ ศาสนา ความเชื่อ วัฒนธรรม รซึ่งปัจจุบัน ระดับจัดการของ ปตท. มีผู้บริหารระดับสูงผู้หญิง 4 ท่าน คิดเป็นร้อยละ 25 ของจำนวนระดับจัดการทั้งหมด ทั้งนี้คณะกรรมการสรรหาได้มีการวางแผน Succession Plan เพื่อเตรียมความพร้อมของบุคลากรให้การขึ้นดำรงตำแหน่งเพื่อทดแทนผู้บริหารระดับสูงที่จะเกษียณอายุในอีก 3-5 ปี ข้างหน้า อย่างต่อเนื่อง
บทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบของคณะกรรมการ ปตท. และระดับจัดการGRI2-12
ระดับคณะกรรมการ มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลและจัดการ ปตท. ให้มีการดำเนินงานเป็นไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ ข้อบังคับ และมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้น ตลอดจนนโยบาย หรือแนวทางที่ได้กำหนดไว้ เช่น- อนุมัติแผนการดำเนินงานและงบประมาณประจำปี
- แต่งตั้งฝ่ายบริหาร เพื่อรับผิดชอบในการดำเนินธุรกิจ, แต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง เพื่อรับผิดชอบเฉพาะเรื่องที่ได้รับมอบหมาย, แต่งตั้งผู้สอบบัญชีของบริษัท, แต่งตั้งเลขานุการบริษัท รับผิดชอบการดำเนินการประชุม
- การกำหนดค่าตอบแทน
- การบริหารความเสี่ยง ซึ่งต้องพิจารณาถึงปัจจัยความเสี่ยงครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการกำกับดูแล ที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ
- การกำกับดูแลการดำเนินงานของฝ่ายจัดการผ่านการรายงานผลการดำเนินการทั้งในส่วนที่เป็นตัวเงินและส่วนที่ไม่ใช่ตัวเงิน ในที่ประชุมคณะกรรมการ ปตท. รายไตรมาส
- ติดตามการดำเนินงานของฝ่ายจัดการผ่านคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง เพื่อช่วยกลั่นกรองงานที่มีความสำคัญอย่างรอบคอบ ขับเคลื่อนให้ดำเนินการตามกลยุทธ์และกรอบนโยบายที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
- การเข้าร่วมประชุมของคณะกรรมการ ปตท.: ปตท. ได้กำหนดสัดส่วนการเข้าร่วมประชุมของกรรมการที่ร้อยะ 80 โดย ปตท. มีการกำหนดการประชุมคณะกรรมการ ปตท. ไว้อย่างเป็นทางการล่วงหน้าตลอดปี โดยในปี 2567 กำหนดการประชุมเดือนละ 1 ครั้งในทุกวันพฤหัสบดี สัปดาห์ที่ 3 ของเดือน และได้แจ้งตารางการประชุมคณะกรรมการ ประจำปี 2568 ให้กรรมการทราบในการประชุมคณะกรรมการ ปตท. นัดพิเศษ ครั้งที่ 11/2567 วันที่ 5 พฤศจิกายน 2567
- การดำรงตำแหน่งกรรมการ:
1. ดำรงตำแหน่งกรรมการในรัฐวิสาหกิจ และ/หรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจเป็นผู้ถือหุ้น ได้ไม่เกิน 3 แห่ง
2. ดำรงตำแหน่งกรรมการใรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ไม่เกิน 3 แห่ง และไม่ขัดต่อหลักเกณฑ์ในข้อ 1 ทั้งนี้การดำรงตำแหน่งกรรมการรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 5 แห่ง
ระดับจัดการ มีอำนาจและหน้าที่ในการบริหารบริษัทตามแผนงานหรืองบประมาณตามที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ ปตท. อย่างเคร่งครัด ซื่อสัตย์ สุจริต รักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของบริษัทและผู้ถือหุ้นอย่างดีที่สุด ฝ่ายจัดการใช้อำนาจในการบริหารจัดการผ่านคณะกรรมการจัดการของ ปตท. (PTT Management Committee: PTTMC) และมีคณะกรรมการระดับจัดการชุดอื่น ๆ อีก 61 คณะ ซึ่งทำหน้าที่พิจารณาและจัดการเรื่องภายในบริษัทให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
บทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบด้านความยั่งยืนของคณะกรรมการและระดับจัดการGRI2-9,2-12,2-13,2-14
ปตท. กำหนดโครงสร้างการกำกับดูแลเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่ความยั่งยืน โดยระบุโครงสร้าง หน้าที่ความรับผิดชอบที่ชัดเจน ทั้งในระดับคณะกรรมการบริษัท ระดับจัดการ รวมทั้งหน่วยงานภายใน เพื่อผลักดัน สนับสนุน ติดตาม และทบทวนการบริหารจัดการประเด็นสำคัญและผลกระทบด้านความยั่งยืนในภาพรวม ให้บรรลุตามเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลดังภาพ ประกอบด้วย
- ระดับคณะกรรมการ: คณะกรรมการ ปตท. มอบหมาย คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและความยั่งยืน หรือ Corporate Governance and Sustainability Committee (CGSC) มีหน้าที่ความรับผิดชอบและบทบาทสำคัญในการให้คำแนะนำ คำปรึกษา ติดตามการดำเนินงานและเห็นชอบการดำเนินงานต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน ดังนี้
- เห็นชอบการกำหนด/ ทบทวนวิสัยทัศน์ กรอบกลยุทธ์ แผนธุรกิจของบริษัท
- เห็นชอบนโยบายเพื่อแสดงเจตนารมณ์ในการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ ได้แก่ นโยบายบริหารจัดการความยั่งยืน นโยบายกำกับดูแลกิจการที่ดี คำแถลงการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน รวมทั้งนโยบายเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ
- เห็นชอบทิศทางกลยุทธ์ กระบวนการบริหารจัดการ และแผนแม่บทการบริหารจัดการความยั่งยืน ฯ
- เห็นชอบการระบุและประเมินประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน ที่มีหรืออาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และสิทธิมนุษยชนขององค์กร
- เห็นชอบให้มีกำกับดูแลการดำเนินงานของแต่ละหน่วยธุรกิจในการจัดการประเด็นความยั่งยืน รวมถึงความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้อง
- เห็นชอบให้มีกำกับดูแลการดำเนินงานของบริษัทย่อยในการสื่อสาร และการจัดการประเด็นด้านความยั่งยืน รวมถึงความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้อง
- ให้คำแนะนำ คำปรึกษา รวมทั้งสนับสนุนเสริมสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง เช่น หน่วยงานภาครัฐ เครือข่ายความร่วมมือต่าง ๆ ในการบริหารจัดการผลกระทบของประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนขององค์กร
- ติดตามความก้าวหน้า รวมทั้งทบทวนประสิทธิภาพและประสิทธิผลของผลการดำเนินงานการบริหารจัดการผลกระทบของประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนขององค์กร เป็นรายไตรมาส
- ระดับจัดการ: ดูแลภาพรวมด้านความยั่งยืน พิจารณา ผลักดัน และสนับสนุนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของกลุ่ม ปตท. ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน อีกทั้งยังกลั่นกรองรายละเอียดก่อนเสนอต่อคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและความยั่งยืน ประกอบด้วย 2 กลุ่มหลัก ได้แก่
- คณะกรรมการจัดการการกำกับดูแล การบริหารความเสี่ยง และการกำกับการปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบองค์กร หรือ Governance Risk and Compliance Management Committee (GRCMC)
- คณะกรรมการกลยุทธ์และบริหารความยั่งยืน กลุ่ม ปตท. หรือ PTT Group Sustainability Strategy and Management Committee (GSMC)
- ระดับสายงานตามโครงสร้างองค์กร: สายงานรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ความยั่งยืนองค์กร ภายใต้ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และความยั่งยืน ประกอบด้วย 2 สายงาน ได้แก่
- ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่กลยุทธ์และบริหารความยั่งยืน ทำหน้าที่กำหนดและขับเคลื่อนนโยบาย ทิศทาง กลยุทธ์ แผนแม่บท และแผนงานต่าง ๆ ไปสู่การปฏิบัติทั่วทั้งองค์กรและกลุ่ม ปตท.
- ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่เทคโนโลยีและธุรกิจการลดคาร์บอนไดออกไซด์ ทำหน้าที่ศึกษาพัฒนา ธุรกิจดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage: CCS) และธุรกิจไฮโดรเจน ร่วมกับกลุ่ม ปตท. และพันธมิตรต่าง ๆ
![]() |
การพัฒนาความรู้และศักยภาพคณะกรรมการGRI2-17
คณะกรรมการ ปตท. และผู้บริหารระดับสูงให้ความสำคัญต่อการเข้าร่วมอบรมสัมมนาหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาความรู้ความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่กรรมการอย่างสม่ำเสมอ (รายละเอียดการอบรมแสดงอยู่ในหัวข้อ 8 รายงานผลการดำเนินงานสำคัญด้านการกำกับดูแลกิจการ เรื่อง การพัฒนากรรมการ ปตท. ในแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี/รายงานประจำปี 2567 (แบบ 56-1 One Report) โดยกรรมการ ปตท. ส่วนใหญ่ (มากกว่าร้อยละ 90) มีประวัติได้เข้ารับการอบรมกับสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) รวมทั้งองค์กร/ สถาบันชั้นนำอื่น ๆ และการเข้าร่วมสัมมนาต่าง ๆ ในหัวข้อที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจัดให้คณะกรรมการได้ดูงานจากหน่วยงานหรือองค์กรอื่นตามความเหมาะสม เพื่อทำให้เกิดมุมมองความคิดที่เป็นประโยชน์มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของ ปตท. ให้เติบโตอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ กรรมการ ปตท. ยังมีส่วนร่วมในกิจกรรมอื่น ๆ ของบริษัท เช่น การตรวจเยี่ยมธุรกิจ ปตท. และบริษัทในกลุ่ม ปตท. ทั้งในประเทศและต่างประเทศ การตรวจเยี่ยมธุรกิจของบริษัท PTT International Trading USA Inc. (PTTT USA) และบริษัท PTTGC America Corporation (GCA Corp) ของคณะกรรมการตรวจสอบ เป็นต้น
การประเมินผลการดำเนินงานคณะกรรมการGRI2-18
ปตท. จัดให้มีการประเมินผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการเป็นประจำทุกปี ตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีของ ปตท. โดยแบบประเมินคณะกรรมการบริษัท จะมี 5 แบบ ตามรายละเอียดการประเมินในแบบ 56-1 One Report ประจำปี 2567 ในหัวข้อ 8 รายงานผลการดำเนินงานสำคัญด้านการกำกับดูแลกิจการ เรื่อง การประเมินผลตนเองของคณะกรรมการบริษัท ประกอบด้วย- แบบประเมินผลคณะกรรมการทั้งคณะ
- แบบประเมินผลคณะกรรมการรายบุคคล (กรรมการประเมินตนเอง)
- แบบประเมินผลคณะกรรมการรายบุคคล (ประเมินโดยกรรมการท่านอื่น)
- แบบประเมินผลคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง (กรรมการเฉพาะเรื่องประเมินการทำงานของคณะกรรมการเฉพาะเรื่องที่ตนเองดำรงตำแหน่ง) และ
- แบบประเมินบทบาทหน้าที่และผลการปฏิบัติงานของประธานกรรมการ ความพึงพอใจการทำงานของคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง และประธานกรรมการเฉพาะเรื่องในแต่ละคณะ (ประเมินโดยกรรมการทุกท่าน)
การประเมินผลการดำเนินงานคณะกรรมการ ปตท. โดยผู้ประเมินอิสระ
คณะกรรมการ ปตท. ยังได้รับการประเมินการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกรรมการ โดยผู้ประเมินอิสระ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง เป็นประจำทุกปี และสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai Institute of Directors: IOD) เป็นประจำทุก 2 ปี (หรือตามระยะเวลาที่ IOD กำหนด)
นโยบายและกระบวนการกำหนดค่าตอบแทนคณะกรรมการGRI2-19, GRI2-20
ปตท. ได้กำหนดนโยบายค่าตอบแทนกรรมการที่เป็นธรรมและสมเหตุสมผล โดยมีคณะกรรมการกำหนดค่าตอบแทน ทำหน้าที่ทบทวนค่าตอบแทนกรรมการให้มีความเหมาะสม โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมและสอดคล้องกับภาระความรับผิดชอบของกรรมการ สถานะการเงินของบริษัท ผลการดำเนินงานของ ปตท. ตามระบบประเมินผลรัฐวิสาหกิจ (Performance Agreement: PA) และเปรียบเทียบกับบริษัทในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน โดยกำหนดค่าตอบแทนเป็นค่าตอบแทนรายเดือน เบี้ยประชุม และโบนัส อนึ่ง กรรมการที่ได้รับมอบหมายให้เป็นกรรมการในคณะกรรมการเฉพาะเรื่องชุดอื่น ๆ ก็ให้ได้รับค่าตอบแทนเพิ่มตามความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ค่าตอบแทนกรรมการประจำปี 2568 ได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2568 เมื่อวันพุธที่ 11 เมษายน 2568 ดังนี้
1) ค่าตอบแทนรายเดือนและเบี้ยประชุมคณะกรรมการ ปตท. ประกอบด้วย- ค่าตอบแทนรายเดือน เดือนละ 30,000 บาทต่อท่าน โดยประธานกรรมการได้รับค่าตอบแทนรายเดือนเป็นสองเท่าของกรรมการ
- เบี้ยประชุม ครั้งละ 60,000 บาท เฉพาะกรรมการที่เข้าประชุม โดยประธานกรรมการได้รับมากกว่ากรรมการร้อยละ 25 โดยจำกัดการจ่ายเบี้ยประชุม ไม่เกิน 1 ครั้งต่อเดือน ในกรณีมีเหตุสมควร อาจพิจารณาจ่ายได้มากกว่า 1 ครั้ง แต่ต้องไม่เกิน 15 ครั้งต่อปี
2.1 คณะกรรมการตรวจสอบ
- ค่าตอบแทนรายเดือน เดือนละ 15,000 บาท เท่ากับอัตราเดิม โดยประธานกรรมการได้รับเท่ากับกรรมการ
- เบี้ยประชุม ครั้งละ 45,000 บาท เฉพาะกรรมการที่เข้าประชุม โดยประธานกรรมการได้รับมากกว่ากรรมการร้อยละ 25 และเลขานุการฯ ได้รับค่าตอบแทนรายเดือน เดือนละ 7,500 บาท (คงเดิม)
- ค่าตอบแทนรายเดือนไม่มีเช่นเดิม
- เบี้ยประชุม ครั้งละ 30,000 บาท เฉพาะกรรมการที่เข้าประชุม โดยประธานกรรมการได้รับมากกว่ากรรมการร้อยละ 25
- ค่าตอบแทนอื่นๆ: ไม่มีค่าตอบแทนอื่นๆ
กำหนดค่าตอบแทนที่เป็นเงินโบนัสกรรมการ ประจำปี 2567 ตามผลประกอบการหรือกำไรสุทธิของ ปตท. เป็นอัตราเงินโบนัสเท่ากับร้อยละ 0.05 ของกำไรสุทธิ ประจำปี 2567 และให้คำนวณจ่ายตามระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง ภายในวงเงินไม่เกิน 60,000,000 บาท ทั้งคณะ โดยประธานคณะกรรมการ ปตท. จะได้รับโบนัสสูงกว่ากรรมการ ในอัตราร้อยละ 25 (จ่ายตามนโยบายเดิม)
ทั้งนี้ ได้เปิดเผยค่าตอบแทนที่กรรมการได้รับเป็นรายบุคคล ปี 2567 ไว้ในหัวข้อ 8 รายงานผลการดำเนินงานสำคัญด้านการกำกับดูแลกิจการ เรื่อง การจ่ายค่าตอบแทนคณะกรรมการ ปตท.ในแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี/รายงานประจำปี 2567 (แบบ 56-1 One Report)
นโยบายการกำหนดค่าตอบแทนประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่GRI2-19
สำหรับการประเมินผลการปฏิบัติงานของประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ คณะกรรมการกำหนดค่าตอบแทน ปตท. จะเป็นผู้พิจารณากำหนดค่าตอบแทนให้สะท้อนถึงผลการปฏิบัติงาน (Performance Management) ตลอดจนแนวปฏิบัติและมาตรฐานของกลุ่มธุรกิจชั้นนำประเภทเดียวกันภายใต้หลักเกณฑ์ที่ชัดเจน โปร่งใส และเป็นธรรม ซึ่งอัตราการขึ้นเงินเดือนและอัตราค่าตอบแทนพิเศษประจำปีจะสอดคล้องกับผลการประเมินคะแนน KPIs และผลการปฏิบัติงานในปัจจุบัน (ระยะสั้น) และผลการปฏิบัติงานตามกลยุทธ์ในระยะยาวของ ปตท. อันเป็นการแสดงถึงวิสัยทัศน์และการสร้างมูลค่าเพิ่ม/ ขีดความสามารถให้กับองค์กรในระยะยาว โดยมีการนำเสนอหลักการและจำนวนค่าตอบแทนที่เหมาะสมต่อคณะกรรมการ ปตท. เพื่อพิจารณาและอนุมัติ ทั้งนี้ ปัจจัยที่สำคัญในการพิจารณาประเมินผลการปฏิบัติงาน ประกอบด้วย- ปัจจัยที่ 1 ผลการดำเนินงานตามระบบการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Assessment Model: SE-AM)
- ปัจจัยที่ 2 ผลการดำเนินงานตามวิสัยทัศน์ที่นำเสนอต่อคณะกรรมการ ปตท.
- ปัจจัยที่ 3 ความสามารถในการบริหารจัดการและภาวะผู้นำ และ
- ปัจจัยที่ 4 การประเมิน 360 องศา
กระบวนการในการกำหนดค่าตอบแทนรวมของประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. และผลการดำเนินงานGRI2-20
คณะกรรมการบริษัทได้กำหนดให้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. นำเสนอผลการประเมินการปฏิบัติงานประจำปีให้คณะกรรมการกำหนดค่าตอบแทนพิจารณา จากนั้นคณะกรรมการจะกำหนดค่าตอบแทนของประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท.ตามผลการปฏิบัติงานทั้งทางด้านการเงิน และไม่ใช่ทางการเงิน โดยกำหนดเกณฑ์ให้ครอบคลุมเป้าหมายที่ท้าทายตามกลยุทธ์ระยะสั้นและระยะยาวของบริษัท ทั้งความรับผิดชอบและการกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และชุมชน (ESG) ปตท. ในฐานะรัฐวิสาหกิจและบริษัทจดทะเบียน มีความเป็นอิสระในการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิผลภายใต้รัฐบาลไทย และผ่านการประเมินผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ (SE-AM) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจกำหนด ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยกระทรวงการคลัง เพื่อติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของบริษัท ดังนั้นการประเมินค่าตอบแทนของประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ มีการกำหนดเกณฑ์ไว้ 4 ประการ ได้แก่ SE-AM KPIs (20%) ผลการดำเนินงานตามวิสัยทัศน์ที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่นำเสนอต่อคณะกรรมการ ปตท. (40%) ความสามารถในการบริหารจัดการและภาวะผู้นำ (30%) และการประเมิน 360 องศา (10%)
ตัวชี้วัดผลตอบแทนทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับค่าตอบแทนของ CEO คือ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินลงทุน (ROIC)
คณะกรรมการกำหนดค่าตอบแทนจะพิจารณาผลการดำเนินงานทางการเงินของกลุ่ม ปตท. โดยเปรียบเทียบ ROIC ของกลุ่ม ปตท. กับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยผลการประเมินการปฏิบัติงาน ROIC สอดคล้องกับค่าตอบแทนของ CEO เพื่อให้มั่นใจว่าโครงสร้างค่าตอบแทนของ ปตท. มีความเหมาะสมและสามารถแข่งขันได้
![]() |
ข้อกำหนดในการเรียกคืนผลประโยชน์และกำไรที่ได้รับของผู้บริหารทุกระดับ (Clawback provision)
กฎการเรียกคืนโบนัสของผู้บริหาร รวมถึง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ (Clawback Provision) ของบริษัทฯ เป็นไปตามมาตรา 85 แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 และมาตรา 89/7 และ 281/2 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมในปี พ.ศ. 2551 ซี่งกำหนดให้การดำเนินธุรกิจ ผู้บริหารจะต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบและปฏิบัติตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ของบริษัท ข้อบังคับ และมติของคณะกรรมการ ตลอดจน การตัดสินใจในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ในกรณีที่พบว่าผู้บริหารล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ ขาดความรอบคอบ หรือกระทำการทุจริตและผิดจรรยาบรรณ บริษัทมีสิทธิเรียกคืนผลประโยชน์และกำไรที่ได้รับ (Clawback) จากผู้บริหารได้ โดยพิจารณาจากผลการปฏิบัติงานของผู้บริหารที่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ของบริษัท และผู้บริหารอาจต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญา
นโยบายการกำหนดค่าตอบแทนผู้บริหารระดับสูง GRI2-19
ค่าตอบแทนผู้บริหารทุกระดับ ได้แก่ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการฯ และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฯ เป็นไปตามนโยบายและหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ ปตท. กำหนด ซึ่งเชื่อมโยงกับผลการดำเนินงานของ ปตท. ตามระบบประเมินผลรัฐวิสาหกิจ (Performance Agreement: PA) กำหนดโดยกระทรวงการคลัง ซึ่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้บริหารทุกระดับร่วมกันกำหนดตัวชี้วัดและตั้งค่าเป้าหมาย (Key Performance Indicators: KPIs) เกี่ยวกับผลปฏิบัติงานตามวัตถุประสงค์ในแต่ละปี และผลตามวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจในระยะยาว ซึ่งตัวชี้วัดดังกล่าวครอบคลุมตามมุมมอง Balance Scorecard ได้แก่ มุมมองทางการเงิน มุมมองด้านลูกค้า มุมมองด้านกระบวนการภายใน มุมมองด้านการเรียนรู้และพัฒนา มุมมองด้านผลิตภัณฑ์ และมุมมองด้านบุคลากร เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจและนำไปใช้ในการประเมินผลการปฏิบัติงานของประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่และผู้บริหารทุกระดับ
จำนวนผู้บริหารระดับสูงของ ปตท. ตามนิยาม ก.ล.ต. มีจำนวน 5 รายตามตำแหน่ง ได้แก่
1. ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่
2. ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ
3. ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย
4. ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน และ
5. ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน
ซึ่งไม่รวมผู้บริหารระดับสูงที่ไปปฏิบัติงานในบริษัทที่ ปตท. ถือหุ้น และผู้บริหารระดับสูงของบริษัทที่ ปตท. ถือหุ้น ที่มาปฏิบัติงานที่ ปตท.
กระบวนการในการกำหนดค่าตอบแทนผู้บริหารระดับสูง และผลการดำเนินงาน GRI2-20
ในปี 2567 KPIs ขององค์กรที่ถ่ายทอดลงมายังผู้บริหารและพนักงาน ครอบคลุมการจัดการผลกระทบขององค์กรที่มีต่อเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม โดยกำหนด KPIs ที่มีวัตถุประสงค์ในการผลักดันการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานผ่านการสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์และบริการของ ปตท. และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของกลุ่ม ปตท.
ปตท. กำหนดค่าตอบแทนผู้บริหารและพนักงานที่สอดคล้องกับผลการดำเนินงานของบริษัททั้งในระยะสั้นและในระยะยาวผ่านการบริหารผลการดำเนินงาน (Performance Management) ซึ่งเป็นกระบวนการดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ เพื่อผลักดันให้ผลการปฏิบัติงานขององค์กรบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ และสอดคล้องกับการวัดผลการดำเนินงานตามระบบการประเมินคุณภาพรัฐวิสาหกิจ โดยมุ่งเน้นการเชื่อมโยงเป้าหมายผลการดำเนินงานในระดับองค์กร ระดับหน่วยงาน และระดับบุคคลให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และสอดคล้องกับทิศทางกลยุทธ์ของ ปตท. เพื่อผลักดันให้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายตามแผนธุรกิจของ ปตท.
ตัวชี้วัดผลการดำเนินงานรายบุคคล
การพิจารณาผลการดำเนินงานผู้บริหารทุกระดับ เป็นไปตามผลการดำเนินงานรายบุคคล โดยกำหนดปีละ 1 ครั้ง โดยได้นำตัวชี้วัดผลการดำเนินงานที่สำคัญ (Key Performance Indicators – KPIs) มาใช้ในการบริหาร ประเมินผลการดำเนินงานรายบุคคล และการพิจารณาค่าตอบแทนของผู้บริหารทุกระดับ
ในปี 2567 ปตท. ได้ถ่ายทอดตัวชี้วัดผลการดำเนินงานขององค์กร ซึ่งครอบคลุมการจัดการผลกระทบขององค์กรที่มีต่อเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม โดยกำหนด KPIs ที่มีวัตถุประสงค์ในการผลักดันการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานผ่านการสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์และบริการของ ปตท. และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของกลุ่ม ปตท. โดยตัวชี้วัดสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก คือ
- ตัวชี้วัดผลการดำเนินงานระดับองค์กร (Corporate KPI) ซึ่งครอบคลุมประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลอย่างครบถ้วน โดยฝ่ายจัดการจะกำหนดตัวชี้วัดและตั้งเป้าหมายระดับกลุ่ม ปตท. ร่วมกันในแต่ละปี เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจและนำไปใช้ประเมินผลการปฏิบัติงาน โดยในปี 2567 มีตัวชี้วัดที่เชื่อมโยงกับประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน รวมทั้งหมดร้อยละ 55 ได้แก่
- PTT new business (low-carbon business)
- GHG emissions
- Safety Management Effectiveness
- Employee Engagement Score
- Non-Compliance
- ตัวชี้วัดผลการดำเนินงานระดับธุรกิจ/ ระดับปฏิบัติการ/ ระดับบุคคล (Functional KPI)
ซึ่งการกำหนด KPIs รายบุคคล โดยถ่ายทอดมาจาก Corporate KPIs และเชื่อมโยงสอดคล้องกับทิศทางกลยุทธ์และแผนธุรกิจของบริษัทที่มุ่งเน้นการบูรณาการความยั่งยืนไปในการดำเนินธุรกิจอย่างรอบด้าน
องค์ประกอบของค่าตอบแทนผู้บริหารทุกระดับGRI2-19
รายได้คงที่และผันแปร
ปตท. มีการจ่ายเงินเดือนให้กับผู้บริหารตั้งแต่ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการฯ และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฯ ลงมา เดือนละ 1 ครั้ง โดยอัตราเงินเดือนเป็นไปตามโครงสร้างเงินเดือนซึ่งแบ่งตามค่างานแต่ละระดับงาน โดยการกำหนดโครงสร้างเงินเดือนของแต่ละระดับงานสอดคล้องกับภาระหน้าที่ของแต่ละบุคคล โดยมีการพิจารณาเทียบเคียงค่าตอบแทนรวมของผู้บริหารทุกระดับกับคู่เทียบของ ปตท. เพื่อให้โครงสร้างเงินเดือนอยู่ในระดับที่เหมาะสม ทั้งนี้ ปตท. จะมีการพิจารณาขึ้นเงินเดือนตามผลประเมิน KPIs รายบุคคล ปีละ 1 ครั้ง
ปตท. พิจารณาจ่ายผลตอบแทนจูงใจให้ผู้บริหารทุกระดับของปตท. ในรูปแบบโบนัสประจำปี โดย ปตท. จะนำเสนอคณะกรรมการ ปตท. เพื่อพิจารณาอนุมัติ โดยปัจจัยที่ใช้ในการพิจารณา เช่น ผลประกอบการ และ ผลสำเร็จของงานที่ ปตท. ได้ดำเนินการในปีนั้น ๆ อัตราเงินเฟ้อ ข้อมูลการจ่ายค่าตอบแทนของบริษัทที่เป็นคู่เทียบในกลุ่มธุรกิจ Oil & Gas มาประกอบ โดยในระดับผู้บริหารทุกระดับและพนักงานที่อยู่ในตำแหน่งบังคับบัญชา ปตท. ยังกำหนดให้มี Variable Bonus ซึ่งสอดคล้องตามผลการประเมิน KPIs รายบุคคลเชื่อมโยงกับมุมมองตาม Balanced Score Card เพื่อจูงใจให้ปฏิบัติงานได้ตามเป้าหมายขององค์กร
ผลประโยชน์หลังเกษียณ
นอกจากเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานที่ ปตท. จ่ายให้กับผู้บริหารตั้งแต่ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการฯ และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฯ ลงมา รวมทั้งพนักงาน เมื่อครบเกษียณอายุในอัตราตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (ครรส.) แล้ว ปตท. ได้กำหนดให้มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อให้มีเงินออมที่เพียงพอใช้จ่ายภายหลังจากเกษียณอายุ และเพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้บริหารและพนักงาน รวมทั้งบุคคลในครอบครัว ในด้านการดูแลรักษาสุขภาพ นอกจากนี้ ภายหลังเกษียณอายุ ปตท. มีการกำหนดให้ผู้บริหาร พนักงาน และบุคคลในครอบครัวมีสิทธิเข้ารับการบริการตรวจและรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของ ปตท. โดยพนักงานไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
ผลการดำเนินงาน
องค์ประกอบของคณะกรรมการปตท. ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567
1. โครงสร้างของคณะกรรมการบริษัทฯ
2. ความหลากหลายทาง เพศ, อายุ, เชื้อชาติ, สัญชาติ และความเชื่อ
ในปี 2567 คณะกรรมการ ปตท. ได้สรรหากรรมการที่มีคุณสมบัติสอดคล้องกับกฎหมาย กฎเกณฑ์ ที่เกี่ยวข้อง และมีความรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่สอดคล้องกับ Skill Matrix และกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของ ปตท. นอกจากนี้ ยังบรรลุเป้าหมายในการสรรหากรรมการเพศหญิง 2 ท่าน ทำให้องค์ประกอบของคณะกรรมการมีความหลากหลาย
3. ระยะเวลาการดำรงตำแหน่งเฉลี่ยของคณะกรรมการปตท.
4. การเข้าร่วมประชุมของคณะกรรมการปตท.
5. การดำรงตำแหน่งกรรมการในบริษัทอื่นๆ ในตลาดหลักทรัพย์
คณะกรรมการ ปตท. กำหนดหลักเกณฑ์ในการดำรงตำแหน่ง ในรัฐวิสาหกิจและ/หรือนิติบุคคลอื่นของ
กรรมการเพื่อให้มั่นใจว่า กรรมการสามารถทุ่มเทเวลาในการปฏิบัติหน้าที่ในบริษัท ได้อย่างเพียงพอ ทั้งนี้ เนื่องจาก ประสิทธิภาพของการปฏิบัติหน้าที่ ในฐานะกรรมการอาจลดลง หากจำนวนบริษัทที่กรรมการ ไปดำรงตำแหน่งมีมากเกินไป โดยกรรมการ ปตท. สามารถ ดำรงตำแหน่งกรรมการในรัฐวิสาหกิจและ/หรือนิติบุคคลได้ดังนี้
(1) ดำรงตำแหน่งกรรมการในรัฐวิสาหกิจและ/หรือนิติบุคคล ที่รัฐวิสาหกิจเป็นผู้ถือหุ้นได้ไม่เกิน 3 แห่ง
(2) ดำรงตำแหน่งกรรมการในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทยได้ไม่เกิน 3 แห่ง ทั้งนี้การดำ รงตำแหน่ง กรรมการตามความในข้อ 3.3.1(2)นี้จะต้องไม่ขัดต่อหลักเกณฑ์ ในข้อ 3.3.1 (1) ด้วย อนึ่ง การดำรงตำแหน่งกรรมการตามความในข้อ 3.3.1 (1) และข้อ 3.3.1 (2) รวมกันแล้ว ต้องไม่เกิน 5 แห่ง (อ้างอิง คู่มือการกำกับดูแลกิจการที่ดี มาตรฐานทางจริยธรรมและจรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ)
6. Board Skill Matrix
![]() |
ค่าตอบแทนรวมของประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. ปี 2567 (หน่วย : บาท)
ค่าตอบแทนประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ | ปี 2567 |
---|---|
ค่าตอบแทนรวม | 31,849,041 |
โบนัส | 10,357,217 |
รวม | 42,206,258 |
หมายเหตุ: ค่าตอบแทนประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ในส่วนของประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่รวมค่าตอบแทนที่ ปตท. จ่ายให้เนื่องจากปฏิบัติงานเพิ่มเติม
ได้แก่ การเป็นประธานกรรมการ และหรือกรรมการบริษัทในกลุ่ม ปตท. ตามที่ได้รับ มอบหมาย โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ได้ดำเนินการตามเงื่อนไขสัญญาจ้างบริหาร
ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่เรียบร้อยแล้ว
ค่าตอบแทนรวมของผู้บริหารระดับสูง ปตท. ตามนิยาม ก.ล.ต. (จำนวน 4 ราย) ปี 2567 (หน่วย : บาท)
ค่าตอบแทน | จำนวนราย ตามตำแหน่ง (ราย) | จำนวนเงิน (บาท) |
---|---|---|
เงินเดือนรวม | 4 | 36,950,220 |
โบนัสรวม | 4 | 18,777,584 |
รวม | 55,727,804 |
หมายเหตุ 1:
หมายเหตุ 2:
สัดส่วนค่าตอบแทนรวมของประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ต่อค่ากึ่งกลาง (Median) ของค่าตอบแทนพนักงาน GRI 2-21 (เฉพาะพนักงาน ปตท. ไม่รวมพนักงาน secondment in และ assignment in ) เท่ากับ 25.75:1
สัดส่วนค่าตอบแทนรวมที่เพิ่มขึ้นของประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ต่อค่ากึ่งกลาง (Median) ของค่าตอบแทนรวมที่เพิ่มขึ้นของพนักงาน GRI 2-21 (เฉพาะพนักงาน ปตท. ไม่รวมพนักงาน secondment in และ assignment in ) เท่ากับ -35.18:1
-
การกำกับดูแลความยั่งยืน
- กลยุทธ์ นโยบาย และการบริหารจัดการสู่ความยั่งยืน
- การกำกับดูแลและธรรมาภิบาล
- การปฏิบัติที่เป็นธรรม
- ระบบการบริหารจัดการด้านความมั่นคง ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม
- การบริหารความเสี่ยงเเละภาวะวิกฤต
- การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
- เครือข่ายด้านความยั่งยืน
- การเปิดเผยข้อมูลและการประเมินผลด้านความยั่งยืน
- ผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน
- มิติด้านเศรษฐกิจ
- มิติด้านสิ่งแวดล้อม
- มิติด้านสังคม