ความยั่งยืน

กลยุทธ์ นโยบาย และการบริหารจัดการสู่ความยั่งยืน

ความยั่งยืน

กลยุทธ์ นโยบาย และการบริหารจัดการสู่ความยั่งยืน

การสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
     




 

กลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน

กรอบกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ปตท. GRI 2-22, GRI 11.2

ปตท. ตระหนักและเล็งเห็นถึงความเสี่ยงและโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประกอบกับแนวโน้มความเปลี่ยนแปลง กระแสของโลกในอนาคต (Megatrend และ Energy Outlook) จึงได้นำมาเป็นปัจจัยป้อนเข้าที่สำคัญในการกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจ ซึ่งสะท้อนอยู่ใน วิสัยทัศน์ กรอบกลยุทธ์ ตลอดจนแผนธุรกิจของบริษัทที่ชัดเจน

ภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ขององค์กร “Powering Life with Future Energy and Beyond” ปตท. มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนธุรกิจ (Business Diversification) ไปสู่การเติบโตในธุรกิจพลังงานอนาคต และธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน สอดรับกับแนวโน้มความเปลี่ยนแปลง กระแสของโลกในอนาคต (Megatrend และ Energy Outlook) รวมทั้งปัจจัยความเสี่ยงและโอกาสที่สำคัญจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยจะมีทั้งการลงทุนในธุรกิจดังนี้

  • Future Energy หรือธุรกิจพลังงานแห่งอนาคต ได้แก่ พลังงานหมุนเวียน ระบบกักเก็บพลังงาน ห่วงโซ่อุปทานของรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงศึกษาโอกาสในไฮโดรเจน
  • Beyond หรือนอกเหนือธุรกิจพลังงาน ได้แก่
    • วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต (Life science) เช่น ธุรกิจยา อุปกรณ์ทางการแพทย์ อาหารเพื่อสุขภาพ 
    • เคมีภัณฑ์มูลค่าสูง (High Value Business)
    • ธุรกิจสนับสนุนการเคลื่อนที่และวิถีชีวิต (Mobility & Lifestyle) ซึ่งรวมถึงธุรกิจค้าปลีก Non-oil
    • ธุรกิจโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐาน
    • ธุรกิจ AI หุ่นยนต์ และดิจิทัล
เพื่อขับเคลื่อนการถ่ายทอดวิสัยทัศน์ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ปตท. ได้กำหนดกรอบกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจขององค์กรซึ่งสอดรับกับ Aspiration “PTT by PTT หรือ Powering Thailand’s Transformation”


ในการเป็นองค์กรด้านพลังงานที่เป็นแรงขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลง โดยมุ่งเน้นทิศทางการดำเนินธุรกิจใน 3 ด้าน ได้แก่ Partnership & Platform, Technology for All และ Transparency & Sustainability อีกทั้งกำหนดเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ใหม่ที่จะบรรลุภายในปี 2030  สะท้อนความมุ่งมั่นในการลดกระทบ (Mitigation) และความสามารถในการเตรียมพร้อมและปรับตัว (Resilience & Adaptation) ต่อปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนี้  

Business Growth: ปรับพอร์ตการลงทุนธุรกิจพลังงาน โดยมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ
  • LNG: เพิ่มปริมาณการค้า LNG ใน Portfolio เป็น 9 ล้านตัน/ปี
  • Power (Conventional): เพิ่มการลงทุนในกำลังผลิตไฟฟ้า Conventional เช่น Gas-to-Power เป็น 8 GW
  • Renewables: เพิ่มการลงในกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 12 GW
New Growth: เพิ่มสัดส่วนกำไรจากธุรกิจกลุ่ม Future Energy & Beyond ให้ไม่ต่ำกว่า 30%
Clean Growth: ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ กลุ่ม ปตท. ลงร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับปี 2563 อีกทั้งประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของ ปตท. ในปี 2583 และมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 

โดยมีกลยุทธ์การดำเนินงาน “4R” ประกอบไปด้วย

  1. Resilience สร้างความยืดหยุ่นพร้อมดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง รักษาสภาพคล่อง สร้างความปลอดภัยและความเป็นเลิศในการปฏิบัติงาน (Operation Excellence) ส่งเสริมพลังร่วมและบริหารจัดการใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การสนับสนุนให้พนักงานมีความคล่องตัวและเตรียมพร้อมรับมือในสถานการณ์ทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงและจัดการวิกฤต
  2. Reenergize เสริมสร้างความสามารถทางการแข่งขันให้กับธุรกิจปัจจุบัน สร้างมูลค่าเพิ่มตลอดห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ปรับ Portfolio รองรับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานจากไฮโดรคาร์บอน และลดการปล่อยคาร์บอนจากการดำเนินธุรกิจที่มีอยู่
  3. Reimagination ริเริ่มขยายธุรกิจเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดเป็น Next normal ทั้งธุรกิจพลังงานที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวเช่น LNG ไฟฟ้า และการเร่งพัฒนาและขยายธุรกิจรูปแบบใหม่ที่นอกเหนือธุรกิจไฮโดรคาร์บอน ทั้งกลุ่มธุรกิจพลังงานอนาคต (Future Energy) และนอกเหนือธุรกิจพลังงาน (Beyond)
  4. Reform พิจารณาปรับเปลี่ยนโดยจัดโครงสร้างองค์กรหรือรูปแบบการดำเนินธุรกิจใหม่ ให้สอดคล้องกับทิศทางในอนาคต พร้อมรองรับทุกสถานการณ์ที่ไม่คาดว่าจะเกิดขึ้น

กรอบกลยุทธ์ทั้งหมดได้ถูกถ่ายทอดไปในแผนธุรกิจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งบริษัทในกลุ่ม ปตท. มีการกำหนดผู้รับผิดชอบ แผนการดำเนินงาน ตลอดจนกลไกและวิธีการที่สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อความยั่งยืนของ ปตท. เช่น โครงสร้างกำกับดูแล การกำหนดเป็นตัวชี้วัดต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถผลักดันการดำเนินงานไปสู่วิสัยทัศน์และเป้าหมายที่กำหนดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลและเป็นระบบ

ทิศทางกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนGRI 2-22

ภายใต้ปณิธาน PTT by PTT (Powering Thailand’s Transformation by Partnership & Platform, Technology for All, Transparency & Sustainability) ในส่วนของ Transparency & Sustainability ปตท. มุ่งเน้นการสร้างความโปร่งใสและพัฒนาธุรกิจให้เกิดความยั่งยืน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามกรอบของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGs) โดยให้ความสำคัญกับการตอบสนองต่อความต้องการและความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างสมดุล ปตท. ได้กำหนด “ทิศทางกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน” ไว้ใน “แผนแม่บทการบริหารจัดการด้านความยั่งยืน เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ปตท. ประจำปี 2564-2568” ประกอบด้วย 3 มิติ ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล ซึ่งมีการกำหนดตัวชี้วัด เป้าหมายระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว และกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จ โดยสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รวมทั้งสนับสนุน SDGs ดังนี้


การสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน

ปตท. ทบทวนลำดับความสำคัญของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ เพื่อเป็นหนึ่งในปัจจัยป้อนเข้าในการกำหนดทิศทางกลยุทธ์และแผนวิสาหกิจขององค์กร ให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่สำคัญ โดยมีกระบวนการทบทวน 3 ขั้นตอน ดังนี้

  1. สำรวจปัจจัยภายในและภายนอกองค์กรที่สำคัญ ประกอบด้วย วิสัยทัศน์และทิศทางกลยุทธ์ใหม่ขององค์กร ประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนขององค์กร นโยบาย ทิศทางกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน นโยบาย เป้าหมาย แผนการดำเนินงาน ตลอดจนแนวโน้มและทิศทางการเปลี่ยนแปลงด้านความยั่งยืนระดับโลกต่าง ๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจตลอดห่วงโซ่คุณค่า รวมถึงความต้องการและความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 
  2. จัดลำดับความสำคัญและระดับการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยอ้างอิงจากคู่มือการดำเนินงานที่เกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับสากล เช่น คู่มือ SDG Ambition Integration Guide และคู่มือ SDG Compass ของ UN Global Compact คู่มือ Mapping the Oil and Gas Industry to the SDGs: An Atlas ของ IPIECA คู่มือ SDG Sector Roadmaps ของ WBCSD และคู่มือ Accelerating Action: An SDG Roadmap for the Oil and Gas Sector ของ IPIECA ร่วมกับ WBCSD เป็นต้น ร่วมกับการพิจารณาความสอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของ ปตท. นำมาจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ เป้าหมายที่ต้องบูรณาการเข้าไปในกระบวนการดำเนินงานขององค์กร (Integrated into Core Business) 10 เป้าหมาย และเป้าหมายที่ควรดำเนินงานร่วมกับเครือข่ายด้านความยั่งยืนหรือสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง (Collaborate with Other Stakeholders) 7 เป้าหมาย โดยมีเป้าหมายที่ 17 เป็นเป้าหมายที่เกื้อหนุนและสนับสนุนให้เป้าหมายอื่น ๆ บรรลุผลสำเร็จ 
  3. ชี้แจงการจัดลำดับความสำคัญและแนวทางการดำเนินงานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปเป็นกรอบในการพิจารณาจัดทำแผนวิสาหกิจ แผนงานและโครงการสนับสนุนการบริหารจัดการประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน ตลอดจนแผนสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในส่วนที่รับผิดชอบ

 


โครงสร้างกำกับดูแลและนโยบายการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ

โครงสร้างการกำกับดูแลด้านความยั่งยืนGRI 2-9, GRI 2-13

ปตท. กำหนดโครงสร้างการกำกับดูแลเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่ความยั่งยืน โดยระบุโครงสร้าง หน้าที่ความรับผิดชอบที่ชัดเจน ทั้งในระดับคณะกรรมการบริษัท  ฝ่ายจัดการ  ผู้บริหาร รวมทั้งหน่วยงานภายใน เพื่อผลักดัน สนับสนุน ติดตาม และทบทวนการบริหารจัดการด้านความยั่งยืนในภาพรวม ให้บรรลุตามเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลดังภาพ โดยได้มีการรวบรวม วิเคราะห์ผลการดำเนินงานและรายงานผลการดำเนินงานตาม “แผนแม่บทการบริหารจัดการด้านความยั่งยืน เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ปตท. ประจำปี 2564-2568” ต่อคณะกรรมการจัดการกำกับดูแล การบริหารความเสี่ยง และการกำกับการปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบองค์กร (GRCMC) และคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและความยั่งยืน (CGSC) รายไตรมาส และรายงานผลการดำเนินงาน และการทบทวนกระบวนการบริหารจัดการความยั่งยืน และแผนการบริหารจัดการความยั่งยืน ประจำปี ให้แก่คณะกรรมการ ปตท. อีกด้วย



ในการบริหารจัดการประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน แต่ละประเด็นจะมีหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบชัดเจน รวมทั้งมีการกำกับดูแลโดยคณะกรรมการ ทั้งในระดับจัดการและคณะกรรมการ ปตท. ซึ่งสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในหัวข้อ กระบวนการและผลการประเมินประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน

นโยบายการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบGRI 2-9, GRI 2-13

ปตท. ตระหนักและให้ความสำคัญยิ่งกับการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ โดยได้แสดงความมุ่งมั่นไว้ในนโยบายหลากหลายฉบับ ดังนี้

  • นโยบายการบริหารจัดการความยั่งยืนของ ปตท. ลงนามโดยประธานคณะกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยเจตนารมณ์ในการบริหารจัดการความยั่งยืนทั้ง 3 มิติ ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล
  • นโยบายการกำกับดูแลกิจการที่ดีของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ลงนามโดยประธานคณะกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีเจตนารมณ์ส่งเสริมให้ ปตท. เป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ การกำกับดูแลกิจการและการบริหารจัดการที่ดีเลิศ โดยมุ่งเน้นการสร้างประโยชน์ที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน และคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยรวม มีคุณธรรมในการดำเนินธุรกิจ มีความโปร่งใส และตรวจสอบได้
  • คำแถลงด้านสิทธิมนุษยชน ลงนามโดยประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่

นอกจากนี้ ปตท. ยังมีการกำหนดนโยบายเพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการประเด็นสำคัญในแต่ละประเด็นเพื่อความชัดเจนมากยิ่งขึ้นตามความเหมาะสม อาทิ

นโยบายทุกฉบับจะมีการกำหนดช่วงเวลาในการทบทวนเนื้อหาเป็นประจำทุกปี เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนขององค์กรที่เปลี่ยนแปลงไป

การกำกับดูแลบริษัทในกลุ่ม ปตท.GRI 2-24

ปตท. กำหนดนโยบายการกำกับดูแลแบบกลุ่ม ปตท. โดยกำหนดแนวทางบริหารจัดการแบบกลุ่ม ปตท. (PTT Group Way of Conductซึ่งเป็นการรวบรวมแนวทาง หลักปฏิบัติ และกระบวนการในการทำงานในมิติต่าง ๆ ของ ปตท. และบริษัทในกลุ่ม ปตท. ให้มีความสอดคล้องและประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อเป็นเครื่องมือกำกับดูแลบริษัทที่ ปตท. ถือหุ้น นำไปปฏิบัติและผลักดันให้เป็นมาตรฐานเดียวกันตลอดทั้งกลุ่ม ปตท. ผ่านผู้แทน ปตท. ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่กรรมการ ผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติงาน เพื่อให้กลุ่ม ปตท. มีเอกภาพในการดำเนินงาน ก่อให้เกิดพลังร่วม เสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งในการแข่งขันในระดับสากลให้กับกลุ่ม ปตท. เพื่อให้กลุ่ม ปตท. เติบโตไปด้วยกันอย่างโปร่งใสและยั่งยืนต่อไป

มาตรฐานการบริหารจัดการความยั่งยืน ปตท. (PTT Sustainability Management Standard)GRI 2-24

ในปี 2564 ปตท. ได้พิจารณาทบทวนและปรับปรุงกรอบการบริหารจัดการความยั่งยืนกลุ่ม ปตท. ฉบับปี 2559 เป็น “มาตรฐานการบริหารจัดการความยั่งยืน ปตท.” เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานและแนวปฏิบัติต่าง ๆ ทั้งในระดับประเทศและสากลที่มีการพัฒนาปรับปรุงให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น ตลอดจนองค์กรสามารถนำมาประยุกต์ใช้เพิ่มขึ้น เช่น ISO26000 แนวทางความรับผิดชอบต่อสังคม United Nation Global Compact (UNGC) เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) มาตรฐานการรายงาน Global Reporting Initiative (GRI) รวมทั้งเกณฑ์การประเมินผลรัฐวิสาหกิจ (SE-AM) เป็นต้น ประกอบไปด้วย 3 ส่วน ได้แก่


1. หลักการการบริหารจัดการความยั่งยืน
 ประกอบด้วย 7 หลักการ ได้แก่

  • ความรับผิดชอบ (Accountability) การกำกับดูแลองค์กรควบคู่กับการบริหารจัดการความเสี่ยงและโอกาส การบริหารประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน และกำหนดโครงสร้างการกำกับดูแล
  • ความโปร่งใส (Transparency) การเปิดเผยกิจกรรมขององค์กรที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ด้วยความชัดเจน ถูกต้อง ทันท่วงที และครบถ้วน
  • การปฏิบัติอย่างมีจริยธรรม (Ethical behavior) การยึดหลักการดำเนินธุรกิจที่เป็นธรรมในการทำข้อตกลงใด ๆ ซึ่งอาจส่งผลให้องค์กรอื่น ๆ และผู้บริโภคตกอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบ
  • การเคารพต่อผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Respect for stakeholder interests) การมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ตลอดจนการให้ข้อมูล
    ป้อนกลับอย่างครบถ้วน
  • การเคารพต่อหลักนิติธรรม (Respect for rule of law) การปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ และข้อกำหนดต่าง ๆ และทบทวนการปฏิบัติตามกฎหมาย
  • การเคารพต่อการปฏิบัติตามแนวทางของสากล (Respect for international norms of behavior) การเคารพต่อหลักนิติธรรม และหลีกเลี่ยงการร่วมกระทำผิดที่ไม่เป็นไปตามแนวทางของสากล
  • การเคารพต่อสิทธิมนุษยชน (Respect for Human Rights) การปกป้องสิทธิมนุษยชนของผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งเชิงบวกและลบจากการดำเนินธุรกิจของ ปตท. 

2. หัวข้อหลักด้านความยั่งยืน ประกอบด้วย 7 ประเด็นหลัก ได้แก่
    1) ธรรมาภิบาล
    2) สิทธิมนุษยชน
    3) การปฏิบัติด้านแรงงาน
    4) สิ่งแวดล้อม
    5) การปฏิบัติที่เป็นธรรม
    6) ประเด็นด้านผู้บริโภค
    7) การมีส่วนร่วมของชุมชน และการพัฒนาชุมชน

3. กระบวนการบริหารจัดการความยั่งยืน ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่   

ขั้นตอนการดำเนินงาน

1. การกำกับดูแลและผู้นำองค์กร (Organizational Governance & Leadership)
  • การแสดงเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นขององค์กรที่ชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านนโยบายการบริหารจัดการความยั่งยืนของ ปตท. ที่ลงนามโดยประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่
  • การกำหนดโครงสร้างและมอบหมายผู้รับผิดชอบ เพื่อให้มีการจัดทำกระบวนการบริหารจัดการความยั่งยืนขององค์กร
  • การทบทวนผลการดำเนินงานโดยผู้บริหาร เพื่อให้มั่นใจว่ามีการดำเนินการอย่างเหมาะสมและเกิดการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง


2. การประเมินประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนและกำหนดกลยุทธ์ แผนแม่บท และเป้าหมาย (Materiality Assessment, Strategic Planning and Target Setting)
  • วิเคราะห์ปัจจัยภายใน/ ภายนอก ที่อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ ปตท. และรวบรวมประเด็นความคาดหวัง ความต้องการและข้อกังวลของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อบ่งชี้และประเมินประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนขององค์กร
  • บูรณาการความเสี่ยงและโอกาสด้านความยั่งยืนเป็นปัจจัยป้อนเข้าในการกำหนดเป้าหมายระยะยาว ทิศทางกลยุทธ์ แผนวิสาหกิจ 5 ปี แผนบริหารความเสี่ยงขององค์กร
  • จัดทำทิศทางกลยุทธ์ และแผนแม่บทการบริหารจัดการด้านความยั่งยืน รวมทั้งแผนปฏิบัติการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด
  • กำหนดตัวชี้วัดการดำเนินงานระดับองค์กร (Corporate KPI) และสายงาน (Functional KPI) รวมถึงตัวชี้วัดความเสี่ยง (Key Risk Indicator: KRI) ให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง


3. การนำไปปฏิบัติ (Implementation)
  • การถ่ายทอดกลยุทธ์ แผนบริหารความเสี่ยง แผนแม่บท และเป้าหมายสู่การปฏิบัติให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  • จัดทำแผนปฏิบัติการโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่สอดคล้องตามแผนแม่บท
  • ถ่ายทอดไปยังบริษัทในกลุ่ม ปตท. โดยกำหนดกลไก/ วิธีการบริหารจัดการประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน ให้สอดคล้องกับ PTT Group Way of Conduct (PTT Group WoC)

4. การติดตามผลการดำเนินงานและการเปิดเผยข้อมูล (Monitoring and Reporting)
  • ทบทวนประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการบริหารจัดการความยั่งยืน ปตท. และกลุ่ม ปตท. ตามกลยุทธ์ แผนวิสาหกิจ แผนปฏิบัติการ แผนงบประมาณ แผนบริหารความเสี่ยง และตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้อง โดยคณะกรรมการตามโครงสร้างการกำกับดูแลด้านความยั่งยืนและในแต่ละประเด็น เพื่อให้เกิดการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่อง
  • ประเมินผลการบริหารจัดการด้านความยั่งยืนเพื่อเทียบเคียงสมรรถนะจากบุคคลภายนอก
  • เปิดเผยข้อมูลการบริหารจัดการความยั่งยืนแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียขององค์กร โดยดำเนินการตามมาตรฐานและแนวทางในการเปิดเผยข้อมูลตามที่องค์กรกำหนด เพื่อให้เข้าถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียขององค์กร


การประเมินประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืGRI 3-1, GRI 3-2

กระบวนการประเมินประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนของ ปตท. ประยุกต์ตามมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืนของ Global Reporting Initiatives (GRI) Universal Standards 2021 และกรอบการรายงานแบบบูรณาการของ International Integrated Reporting Council (IIRC) เพื่อระบุประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล ที่มีผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบที่เกิดขึ้นและมีโอกาสเกิดขึ้นในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญต่อการสร้างคุณค่าไปสู่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตลอดห่วงโซ่คุณค่าขององค์กร โดยจะดำเนินการประเมินประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนอย่างรอบด้านเป็นประจำทุกปี เพื่อทบทวนการเปลี่ยนแปลงของผลกระทบตามบริบท ปัจจัยภายใน/ ภายนอก และสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีขั้นตอนหลัก ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1: ทำความเข้าใจบริบทขององค์กร
พิจารณาจากปัจจัยภายใน (เช่น วิสัยทัศน์ วัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ การดำเนินงานขององค์กร ฯลฯ) ปัจจัยภายนอก (เช่น มาตรฐาน ข้อกำหนด แนวปฏิบัติ แนวโน้มและความเสี่ยงของโลกที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ) และพิจารณาประเด็นสำคัญของ ปตท. บริษัทในกลุ่ม ปตท. และบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมควบคู่ด้วย ทั้งยังวิเคราะห์ประเด็นความต้องการและความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อ 15 สายงานของ ปตท. รวมถึงผลสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักทั้ง 6 กลุ่มขององค์กรเป็นประจำทุกปี เพื่อรวบรวมและจัดกลุ่มประเด็นด้านความยั่งยืน

ขั้นตอนที่ 2: ระบุผลกระทบที่เกิดขึ้นและมีโอกาสเกิดขึ้นในอนาคต
ระบุผลกระทบเชิงบวกและเชิงลบที่เกิดขึ้นและมีโอกาสเกิดขึ้นในอนาคตอย่างรอบด้านจากประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล โดยคำนึงถึงผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนตลอดกระบวนการดำเนินธุรกิจขององค์กร โดยเริ่มต้นจากการระบุผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นและมีโอกาสเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งในมุมมองที่องค์กรก่อให้เกิด (Cause) มีส่วนร่วมทำให้เกิด (Contribute to) หรือเชื่อมโยงโดยตรงให้ได้ซึ่งผลประโยชน์ทางธุรกิจ (Directly Linked to) จากห่วงโซ่คุณค่าขององค์กร หลังจากนั้นระบุผลกระทบเชิงบวกที่เกิดขึ้นและมีโอกาสเกิดขึ้นในอนาคตที่ส่งมอบคุณค่าไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยผลกระทบเชิงบวกและเชิงลบไม่สามารถนำมาชดเชยซึ่งกันและกันได้

ขั้นตอนที่ 3: ประเมินความสำคัญของผลกระทบ
ผลกระทบเชิงลบ: ประเมินความสำคัญของผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้น (Actual Negative Impact) โดยพิจารณาจากความรุนแรง (Severity) ที่ครอบคลุมทั้งความร้ายแรง (Scale), ขอบเขต (Scope), และการฟื้นฟู (Irremediable Character) รวมถึงประเมินความสำคัญของผลกระทบเชิงลบที่มีโอกาสเกิดขึ้นในอนาคต (Potential Negative Impact) โดยพิจารณาจากความรุนแรง (Severity) ข้างต้นและโอกาสการเกิด (Likelihood)
ผลกระทบเชิงบวก: ประเมินความสำคัญของผลกระทบเชิงบวกที่เกิดขึ้น (Actual Positive Impact) โดยพิจารณาจากขนาด (Scale) และขอบเขต (Scope) ของผลกระทบ รวมถึงประเมินความสำคัญของผลกระทบเชิงบวกที่มีโอกาสเกิดขึ้นในอนาคต (Potential Positive Impact) โดยพิจารณาจากขนาด (Scale) และขอบเขต (Scope) ข้างต้น และโอกาสการเกิด (Likelihood)

ขั้นตอนที่ 4: จัดลำดับความสำคัญของผลกระทบเพื่อการรายงาน
จัดลำดับความสำคัญของผลกระทบทั้งหมดและคัดเลือกประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน 3 อันดับแรกที่อยู่ในระดับสำคัญมาก-สูงมาก จากการประเมินผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบสำหรับนำมารายงาน ซึ่งผลการประเมินฯ ได้ผ่านการทบทวนร่วมกับหน่วยงานและผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง โดยทั้งหมดอยู่ภายใต้การกำกับดูแลและเห็นชอบจากคณะกรรมการระดับจัดการและคณะกรรมการ ปตท. ได้แก่ คณะกรรมการจัดการการกำกับดูแลการบริหารความเสี่ยง และการกำกับการปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบองค์กร (Governance, Risk and Compliance Management Committee: GRCMC) และคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและความยั่งยืน (Corporate Governance and Sustainability Committee: CGSC) ตามลำดับ นอกจากนี้ จัดให้มีที่ปรึกษาและหน่วยงานภายนอกทวนสอบกระบวนการประเมินประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน เพื่อความครบถ้วน ถูกต้อง เชื่อถือได้และความโปร่งใส โดย ปตท. ได้พิจารณาข้อสังเกตจากที่ปรึกษาและหน่วยงานภายนอกมาพัฒนาปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานและการเปิดเผยข้อมูลอย่างต่อเนื่อง

ดาวน์โหลดแบบ 56-1 One Report


ผลการประเมินประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนปี 2565
GRI 3-2, GRI 3-3


จากการประเมินประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนของ ปตท. ประจำปี 2565 พบว่ามีประเด็นสำคัญฯในระดับมาก-สูงมากจำนวน 5 อันดับแรก ดังนี้

  • การบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังคงเป็นประเด็นสำคัญอันดับที่หนึ่งเหมือนกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นวาระสำคัญระดับสากลที่ต้องใช้ความพยายามจากหลายภาคส่วน รวมถึงภาคธุรกิจเพื่อให้บรรลุไปสู่เป้าหมายการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 2 องศาเซลเซียสและมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในกลางศตวรรษนี้ ปตท. ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน มีภารกิจในการมีส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคพลังงาน ปตท. จึงบูรณาการการประเมินความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้ากับการบริหารความเสี่ยงขององค์กร โดยพิจารณาปัจจัยเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านของพลังงานและผลกระทบทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนพิจารณาโอกาสทางธุรกิจใหม่ในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

    ด้วยวิสัยทัศน์ของ ปตท. “Powering Life with Future Energy and Beyond” ปตท. ขับเคลื่อนเพื่อให้บรรลุพันธกิจในการขยายธุรกิจสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยมีเป้าหมายระดับองค์กร 3 เป้าหมาย ได้แก่ 1) New Growth, 2) Business Growth, และ 3) Clean Growth ในส่วนของเป้าหมาย Clean Growth มุ่งเน้นไปที่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้บรรลุถึงความเป็นกลางทางคาร์บอนและเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ นอกจากนี้ ปตท. ยังได้จัดทำแนวทางการดำเนินงานที่เรียกว่า “3P Decarbonization Pathways” เพื่อมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยในส่วนของ P ตัวแรกภายใต้กลยุทธ์ “Pursuit of Lower Emissions” ที่มีความมุ่งมั่นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการให้ได้มากที่สุด ด้วยแนวคิดริเริ่มโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์, พลังงานไฮโดรเจน, และการใช้พลังงานหมุนเวียนในกระบวนการผลิต เป็นต้น

  • การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ธุรกิจ มีลำดับความสำคัญเพิ่มขึ้น สอดคล้องตามวิสัยทัศน์ใหม่ของ ปตท. “Powering Life with Future Energy and Beyond” ในการขยายธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน ปรับพอร์ทการลงทุน และมุ่งเน้นธุรกิจคาร์บอนต่ำ โดยมีเป้าหมายระดับองค์กร “New Growth” มุ่งเน้นไปที่การเร่งและปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจใหม่ เพื่อเติบโตในห่วงโซ่คุณค่าพลังงานในอนาคต นอกจากนี้ ภายใต้แนวทางการดำเนินงาน “3P Decarbonization Pathways” ในส่วนของกลยุทธ์ “Portfolio Transformation” ยังทำหน้าที่เป็นกรอบในการลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ เช่น พลังงานหมุนเวียน, ระบบกักเก็บพลังงาน, ห่วงโซ่อุปทานของรถยนต์ไฟฟ้า, ธุรกิจ AI หุ่นยนต์, และวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต เป็นต้น

  • อาชีวอนามัยและความปลอดภัย ลำดับความสำคัญลดลง เนื่องจาก ปตท. สามารถบริหารจัดการวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด 19 ได้อย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพ ทำให้พนักงานและผู้รับเหมาที่เกี่ยวข้องสามารถปฏิบัติตนได้ถูกต้อง และได้รับความช่วยเหลือได้ทันท่วงที แต่อย่างไรก็ตาม พนักงานและผู้รับเหมาของ ปตท. อยู่ในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ อาจเผชิญกับอันตรายที่นำไปสู่การบาดเจ็บ การเจ็บป่วย ความเสียหายต่อสุขภาพที่แก้ไขไม่ได้ หรือการสูญเสียชีวิต สิ่งเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดต้นทุนความเสียหายต่อทรัพย์สิน การสูญเสียรายได้จากการหยุดดำเนินการที่สำคัญอย่างกะทันหัน การเยียวยา ค่าปรับ ฯลฯ ดังนั้นความท้าทายดังกล่าวสร้างโอกาสให้ ปตท. ปรับปรุงความมั่นคง ความปลอดภัย และการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจของบริษัทให้มากขึ้น มีประสิทธิภาพ ยืดหยุ่น พร้อมรับความเสี่ยงทุกรูปแบบ โดยไม่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

    ปตท. ได้กำหนดทิศทางกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนไว้ใน “แผนแม่บทการบริหารจัดการความยั่งยืน” โดยพิจารณาครอบคลุม 3 มิติ ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) ซึ่งในทิศทางกลยุทธ์มิติสังคม ครอบคลุมถึง “การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีและคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน” มีการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับอาชีวอนามัยและความปลอดภัย เช่น การปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับชีวิต การเฝ้าระวังสุขภาพ การวิเคราะห์และจัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัยกระบวนการผลิต (Bow Tie and Barrier Validation) ระบบรายงานสุขภาพของ ปตท. และ ระบบคาดการณ์อุบัติเหตุของรถขนส่ง NGV เป็นต้น

  • นวัตกรรมและเทคโนโลยี เพิ่มลำดับความสำคัญขึ้นมาอย่างชัดเจน ในการพัฒนาและขยายตัวของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ

  • องค์กรที่ดีต่อสังคม มีลำดับสูงขึ้น ตามที่สังคมชุมชนคาดหวังให้ ปตท. สนับสนุนความปลอดภัยด้านสาธารณสุขให้แก่ประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 และสร้างงาน สร้างรายได้ ฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศจากผลกระทบดังกล่าว

เป้าหมายและตัวชี้วัดประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนในระดับสูง

ประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนเป้าหมายการดำเนินงานผลการดำเนินงาน
เทียบเป้าหมายระยะสั้น
ตัวชี้วัด
ระยะสั้น ปี 2565ระยะยาว

การบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

  • ปตท. ปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ขอบเขต 1 และ 2 รวมใประเทศและต่างประเทศ) ไม่เกิน 12 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
  • กลุ่ม ปตท. ปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ขอบเขต 1 และ 2 รวมใประเทศและต่างประเทศ) ไม่เกิน 52.5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

เป้าหมาย Clean Growth: ดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 15 ภายในปี 2573 เมื่อเทียบกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2563 เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2583 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี 2593

  • ปตท.: 9.99 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
  • กลุ่ม ปตท.: 45.40 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
  • ตัวชี้วัดผลการดำเนินงานตามระบบประเมินผลรัฐวิสาหกิจ (SE-AM KPI) และตัวชี้วัดองค์กร (Corporate KPI)*
  • ตัวชี้วัดระดับสายงาน (Functional KPI)
  • ตัวชี้วัดตามแผนแม่บทการบริหารจัดการด้านความยั่งยืน เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ปตท. ประจำปี 2564-2568
  • ตัวชี้วัดในเป้าหมาย QSHE ปี 2565 สำหรับการดำเนินงานของ ปตท. และกลุ่ม ปตท.
* SE-AM KPI และ Corporate KPI วัดผลการดำเนินงานในรูปแบบ Eco-Efficiency ซึ่งคำนวณจากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและหน่วยผลิตภัณฑ์เฉพาะ ปตท.
การปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ
รายได้จากธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตและธุรกิจที่ไกลกว่าพลังงาน มากกว่าเท่ากับร้อยละ 10 ของรายได้ในปี 2564 โดยสอดคล้องกับตัวชี้วัดระดับองค์กร “PTT New Business Achievement”
เป้าหมาย New Growth: สัดส่วนรายได้สุทธิจากธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตและธุรกิจที่ไกลกว่าพลังงานมากกว่าร้อยละ 30 ภายในปี 2573

ปตท. ลงทุนในธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตและธุรกิจที่ไกลกว่าพลังงานตามแผนงานโดยมีโครงการการที่สำคัญในปี 2565 ดังนี้

1) ถอนการลงทุนในพลังงานฟอสซิล
2) เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและยานยนต์ไฟฟ้าผ่านบริษัทย่อยที่ ปตท. ถือหุ้นร้อยละ 100 (ReAcc, EVME และ ARUN PLUS, ฯลฯ)
3) จัดตั้งบริษัท Innobic (Asia) พัฒนาธุรกิจด้านสุขภาพ ยา และวัสดุทางการแพทย์ต่อยอดจากธุรกิจอุตสาหกรรมปิโตรเคมี, 4) จัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับภาครัฐและเอกชน สนับสนุนและดำเนินการในธุรกิจโลจิสติกส์ โดยมุ่งนุ่นการเชื่อมโยงระบบเครือข่ายขนส่งทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งทำให้ในปี 2565 รายได้จากธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตและธุรกิจที่ไกลกว่าพลังงาน มากกว่าร้อยละ 10 ของรายได้ในปี 2564 ตามตัวชี้วัดระดับองค์กร

  • ตัวชี้วัดผลการดำเนินงานตามระบบประเมินผลรัฐวิสาหกิจ (SE-AM KPI) และตัวชี้วัดองค์กร (Corporate KPI)
  • ตัวชี้วัดระดับสายงาน (Functional KPI)
  • ตัวชี้วัดตามแผนแม่บทการบริหารจัดการด้านความยั่งยืน เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ปตท. ประจำปี 2564-2568
* SE-AM KPI และ Corporate KPI วัดผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัด PTT New Business Achievement ซึ่งคำนวนจากสัดส่วนรายได้จากธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตและธุรกิจที่ไกลกว่าพลังงาน
อาชีวอนามัยและความปลอดภัย
  • อุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงานของพนักงานและผู้รับเหมา เท่ากับ 0
  • อัตราการบาดเจ็บจากการทำงานรวมต่อ 200,000 ชั่วโมงการทำงานของพนักงาน ≤053 และผู้รับเหมา ≤ 0.064
  • อุบัติเหตุด้านความปลอดภัยกระบวนการผลิต ระดับ Tier 1 เท่ากับ 0 และผลรวมระดับ Tier 1 & 2 ≤ 1 ครั้ง
  • อัตราการเจ็บป่วยจากการงานรวม ต่อ 200,000 ชั่วโมงการทำงาน ของพนักงาน ≤096
  • จำนวนอุบัติเหตุรถขนส่งผลิตภัณฑ์ขั้นร้ายแรง (ครั้งต่อ 1,000,000 กิโลเมตร) เท่ากับ 0

เป้าหมายปี 2573

  • อุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงานของพนักงานและผู้รับเหมา เท่ากับ 0
  • อัตราการบาดเจ็บจากการทำงานรวมต่อ 200,000 ชั่วโมงการทำงานของพนักงานและผู้รับเหมา เท่ากับ 0
  • อัตราการเจ็บป่วยจากการงานรวม ต่อ 200,000 ชั่วโมงการทำงาน ของพนักงาน เท่ากับ 0
  • อุบัติเหตุด้านความปลอดภัยกระบวนการผลิต ระดับ Tier 1 และผลรวมระดับ Tier 1 & 2 เท่ากับ 0
  • จำนวนอุบัติเหตุรถขนส่งผลิตภัณฑ์ขั้นร้ายแรง (ครั้งต่อ 1,000,000 กิโลเมตร) เท่ากับ 0
  • อุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงาน (LTA) ของพนักงานและผู้รับเหมา เท่ากับ 0
  • อัตราการบาดเจ็บจากการทำงานรวมต่อ 200,000 ชั่วโมงการทำงาน (TRIR) ของพนักงาน เท่ากับ 0.063 และผู้รับเหมาเท่ากับ 0.038
  • อุบัติเหตุด้านความปลอดภัยกระบวนการผลิต (PSE) ระดับ Tier 1 เท่ากับ 0 และผลรวมระดับ Tier 1 & 2 เท่ากับ 1 ครั้ง
  • อัตราการเจ็บป่วยจากการงานรวม ต่อ 200,000 ชั่วโมงการทำงาน (TROIR) ของพนักงาน เท่ากับ 0
  • จำนวนอุบัติเหตุรถขนส่งผลิตภัณฑ์ขั้นร้ายแรง (ครั้งต่อ 1,000,000 กิโลเมตร) เท่ากับ 0
  • ตัวชี้วัดผลการดำเนินงานตามระบบประเมินผลรัฐวิสาหกิจ (SE-AM KPI) และตัวชี้วัดองค์กร (Corporate KPI)
  • ตัวชี้วัดตามแผนแม่บทการบริหารจัดการด้านความยั่งยืน เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ปตท. ประจำปี 2564-2568
  • ตัวชี้วัดในเป้าหมาย QSHE ปี 2565
    สำหรับการดำเนินงานของ ปตท. และกลุ่ม ปตท.
* SE-AM KPI และ Corporate KPI วัดผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัด Safety Management Effectiveness ซึ่งครอบคลุม TRIR, LTA, และ PSE
นวัตกรรมและเทคโนโลยี
  • ค่าใช้จ่ายเพื่อพัฒนานวัตกรรมไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิปี 2564
  • จดสิทธิบัตรจำนวนไม่น้อยกว่า 23 เรื่อง
กำไรจากนวัตกรรมที่สร้างขึ้นภายในไม่น้อยกว่าร้อยละ 7ของกำไรสุทธิในปี 2573
  • ค่าใช้จ่ายเพื่อพัฒนานวัตกรรมร้อยละ 11 ของกำไรสุทธิปี 2564
  • จดสิทธิบัตรได้ 26 เรื่อง
  • ตัวชี้วัดผลการดำเนินงานตามระบบประเมินผลรัฐวิสาหกิจ (SE-AM KPI) และตัวชี้วัดองค์กร (Corporate KPI)
  • ตัวชี้วัดระดับสายงาน (Functional KPI)
* SE-AM KPI และ Corporate KPI วัดผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัด PTT New Business Achievement ซึ่งคำนวนจากสัดส่วนรายได้จากธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตและธุรกิจที่ไกลกว่าพลังงาน
นวัตกรรมและเทคโนโลยี
  • ค่าใช้จ่ายเพื่อพัฒนานวัตกรรมไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิปี 2564
  • จดสิทธิบัตรจำนวนไม่น้อยกว่า 23 เรื่อง
  • กำไรจากนวัตกรรมที่สร้างขึ้นภายในไม่น้อยกว่าร้อยละ 7ของกำไรสุทธิในปี 2573
  • ค่าใช้จ่ายเพื่อพัฒนานวัตกรรมร้อยละ 11 ของกำไรสุทธิปี 2564
  • จดสิทธิบัตรได้ 26 เรื่อง
  • ตัวชี้วัดผลการดำเนินงานตามระบบประเมินผลรัฐวิสาหกิจ (SE-AM KPI) และตัวชี้วัดองค์กร (Corporate KPI)
  • ตัวชี้วัดระดับสายงาน (Functional KPI)
* SE-AM KPI และ Corporate KPI วัดผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัด PTT New Business Achievement ซึ่งคำนวนจากสัดส่วนรายได้จากธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตและธุรกิจที่ไกลกว่าพลังงาน
องค์กรที่ดีต่อสังคม
  • จำนวนผู้สำเร็จการศึกษาจาก KVIS และ VISTEC 71 และ 20 คน ตามลำดับ
  • มีจำนวนผลงานวิจัยจาก VISTEC เพิ่มขึ้นในแต่ละปีการศึกษา
  • จำนวนผู้ได้รับการจ้างงานจากโครงการ Restart Thailand กลุ่ม ปตท. มากกว่า 23,000 อัตรา 
  • งบประมาณการลงทุนทางสังคม อย่างน้อยร้อยละ 1-3 ของกำไรสุทธิ
  • งบประมาณบริจาคสาธารณะเทียบกับงบประมาณการดำเนินงานด้านสังคมรวม ไม่เกินร้อยละ 30 ของงบประมาณโดยรวม
  • ผลลัพธ์ทางสังคม (SIA) หรือผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (SROI) มากกว่าหรือเท่ากับ 1.3 เท่า ของต้นทุนทางการเงิน WACC ทุกโครงการ (ไม่รวมโครงการทดลองดำเนินการภายใต้ PTT SE Sandbox)
  • งบประมาณการลงทุนทางสังคม อย่างน้อยร้อยละ 1-3 ของกำไรสุทธิ ภายในปี 2568
  • สัดส่วนงบประมาณบริจาคสาธารณะเทียบกับงบประมาณการดำเนินงานด้านสังคมรวม ไม่เกินร้อยละ 30 ของงบประมาณโดยรวม ภายในปี 2568
  • KVIS: 71 คน และ VISTEC: 20 คน
  • 338 ผลงาน
  • 23,354 อัตรา
  • งบประมาณการลงทุนทางสังคมคิดเป็น ร้อยละ 34* ของกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน
  • งบประมาณบริจาคสาธารณะ คิดเป็นร้อยละ 29* ของงบประมาณโดยรวม
  • ทุกโครงการ (6 โครงการ) มีค่า SROI มากกว่า 3 เท่าของต้นทุนทางการเงิน

*หากรวมงบประมาณเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 แล้วนั้น งบประมาณการลงทุนทางสังคมคิดเป็นร้อยละ 1.66 ของกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน และ งบประมาณบริจาคสาธารณะคิดเป็นร้อยละ 42.60 ของงบประมาณโดยรวม

  • ตัวชี้วัดผลการดำเนินงานตามระบบประเมินผลรัฐวิสาหกิจ (SE-AM KPI) และตัวชี้วัดองค์กร (Corporate KPI)
  • ตัวชี้วัดระดับสายงาน (Functional KPI)
  • ตัวชี้วัดตามแผนแม่บทการบริหารจัดการด้านความยั่งยืน เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ปตท. ประจำปี 2564-2568


ผลกระทบและการบริหารจัดการประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน

ดาวน์โหลด ผลกระทบและการบริหารจัดการประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน


การประเมินมูลค่าที่แท้จริงขององค์กรจากผลการบริหารจัดการด้านความยั่งยืน

ปตท. มีการประเมินมูลค่าที่แท้จริงขององค์กรจากผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบด้านความยั่งยืน เพื่อให้นักลงทุนได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลการดำเนินงานขององค์กรอย่างแท้จริง ที่สะท้อนถึงผลกระทบภายนอก (Externality)  ในเชิงบวกและเชิงลบจากการดำเนินงานขององค์กรในรูปแบบของมูลค่าทางการเงิน นอกจากนี้ยังทำให้บริษัทเห็นโอกาสในการปรับปรุงการดำเนินงานเพื่อลดผลกระทบทางลบและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อธุรกิจและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งจะสามารถนำไปสู่การบริหารจัดการอย่างเหมาะสม รวมถึงสามารถนำมาใช้ประกอบการวางแผนและพิจารณาตัดสินใจในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของบริษัทในอนาคตได้อีกด้วย

การประเมินมูลค่าที่แท้จริงด้านความยั่งยืนขององค์กรสามารถแบ่งเป็น 5 ขั้นตอนหลัก โดยที่ขอบเขตการประเมินฯครอบคลุมข้อมูลผลการการดำเนินธุรกิจของ ปตท. ในแต่ละปี (ไม่รวมบริษัทในกลุ่ม ปตท.) ดังนี้

  1. ศึกษานโยบายและกลยุทธ์ขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการความยั่งยืน
  2. เลือกประเด็นด้านความยั่งยืนที่สำคัญตามนโยบายและกลยุทธ์ขององค์กร เพื่อกำหนดตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงผลกระทบทางตรงและทางอ้อมได้ รวมถึงการนำมาใช้ในการประเมินมูลค่าที่แท้จริง ซึ่งตัวชี้วัดส่วนใหญ่มีการรวบรวมข้อมูลและรายงานในรายงานประจำปี 56-1 One Report ขององค์กรอย่างต่อเนื่อง
  3. รวบรวมข้อมูลตัวชี้วัด และตัวแปรมูลค่าของตัวชี้วัด (Valuation Factor) เพื่อวิเคราะห์หาผลกระทบเชิงบวกและลบ รวมถึงผลกระทบทางตรง และผลกระทบทางอ้อมที่เหมาะสม โดยพิจารณามิติด้านความยั่งยืนให้ครบทุกด้าน
  4. คำนวณมูลค่าผลกระทบด้านความยั่งยืนทั้งเชิงบวกและเชิงลบที่เกิดขึ้นด้วยการนำข้อมูลเชิงปริมาณของผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน คูณกับตัวแปรมูลค่าของตัวชี้วัด
  5. รวมมูลค่าของตัวชี้วัดแต่ละด้านทั้งผลกระทบเชิงบวกและเชิงลบ เพื่อคำนวณมูลค่าที่แท้จริงขององค์กร


ผลกระทบภายนอกต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียปริมาณ หรือ หน่วยของ
ผลกระทบภายนอก
รูปแบบการประเมินผลกระทบหน่วยของการประเมินผลกระทบ

มูลค่าเพิ่ม (Gross Value Added: GVA)

เป็นการวัดมูลค่าของสินค้าและบริการที่ผลิตในพื้นที่อุตสาหกรรม องค์กร หรือภาคของเศรษฐกิจแต่ละราย

บาท

ผลรวมของกำไรสุทธิ (หลังหักภาษีเงินได้) และตัวเลขทางการเงินในมิติเศรษฐกิจขององค์กร เช่น ค่าตอบแทนและสวัสดิการของผู้บริหารและพนักงาน, และการจ่ายภาษีให้แก่ภาครัฐ เป็นต้น

บาท

เงินเดือนผู้บริหารและพนักงาน

เงินเดือน หรือ รายได้ของผู้บริหารและพนักงาน แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการใช้จ่ายในระดับพื้นฐานของครัวเรือน ที่ส่งเสริมให้ได้รับโภชนาการ ที่อยู่อาศัย สุขภาพ และการศึกษาที่ดี โดนผลกระทบทางสังคมที่เกิดจากการจ่ายเงินเดือนให้กับผู้บริหารและพนักงานของ ปตท. เทียบได้กับการใช้จ่ายในระดับพื้นฐาน หรือค่าครองชีพในระดับประเทศ

บาท

เงินเดือนของผู้บริหารและพนังานแยกตามระดับ เปรียบเทียบกับความสามารถในการใช้จ่ายในระดับพื้นฐาน หรือค่าครองชีพของประเทศ เทียบกับ 2 ตัวแปร ได้แก่ 1) Disability Adjusted Life Years (DALY) สำหรับผลกระทบด้านลบ และ 2) Quality Adjusted Life Years (QALY) สำหรับผลกระทบเชิงบวก

บาท

ความปลอดภัยอาชีวอนามัย

ครอบคลุมถึงการบาดเจ็บ การเจ็บป่วย และการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน ซึ่งสร้างภาระค่าใช้จ่ายต่อพนักงานและชุมชน โดยต้นทุนทางสังคมวัดจากค่าใช้จ่ายทางอ้อมที่รวมถึงรายการต่าง ๆ เช่น ผลผลิตที่เสียหาย การสูญเสียรายได้ในปัจจุบันและอนาคต และค่าใช้จ่ายในโครงการสวัสดิการสังคมสำหรับพนักงานและชุมชนที่ได้รับบาดเจ็บ

จำนวนและประเภทอุบัติการณ์ด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย ต้นทุนทางอ้อมจากความเสียหายของผลผลิต การสูญเสียรายได้ขององค์กรในปัจจุบันและอนาคต ค่าใช้จ่ายทางสังคมสำหรับพนักงานและชุมชนที่ได้รับการบาดเจ็บ บาทต่อจำนวนอุบัติการณ์

ความหลากหลายทางชีวภาพ
(การฟื้นฟูและการทำลายระบบนิเวศ
)

การบริหารจัดการพื้นที่ปฏิบัติการขององค์กรที่สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกและ /หรือ เชิงลบต่อระบบนิเวศและชีวิตของชุมชนท้องถิ่น

หน่วยพื้นที่เฮกตาร์ ต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ โดยรวมถึงการทำลายและฟื้นฟูระบบนิเวศ บาทต่อหน่วยพื้นที่เฮกตาร์

การปล่อยก๊าซเรือนกระจก

การปล่อยก๊าซเรือนกระจกก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลเสียต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น สุขภาพของมนุษย์ เศรษฐกิจหยุดชะงัก การเกษตร การแปรสภาพเป็นทะเลทราย เป็นต้น

ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

ต้นทุนคาร์บอนที่ส่งผลกระทบต่อสังคม บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

มลพิษทางอากาศ

มลพิษทางอากาศ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ พืชผลและป่าไม้ ระบบนิเวศ และความเสียหายวัสดุอุปกรณ์

ตันของมลพิษทางอากาศ ได้แก่ ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน,  ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์, สารอินทรีย์ระเหย เป็นต้น ต้นทุนมลพิษทางอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสังคม บาทต่อตันของมลพิษทางอากาศ

การใช้น้ำ

ความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากรน้ำ ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับพื้นที่ขาดแคลนน้ำ

ลูกบาศก์เมตร ต้นทุนทางสังคมของความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากรน้ำ บาทต่อลูกบาศก์เมตร

การปล่อยของเสีย

การจัดการของเสียส่งผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (เช่น การเผาก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก การฝังกลบทำให้เกิดก๊าซมีเทนและทำให้น้ำใต้ดินปนเปื้อน เป็นต้น)

ตันของเสีย ต้นทุนการปล่อยของเสียและการจัดการของเสียที่ส่งผลกระทบต่อสังคม บาทต่อตัน